ครั้งแรกที่ผมซื้อกล้องฟิล์มมาใช้นั้น ต้องบอกตามตรงเลยว่าซื้อเพราะชอบ และชอบแบบไม่ได้ทำการศึกษาอะไรมาก่อนเลย คือซื้อมาแล้วค่อยไปหาคู่มือตามเน็ตมาอ่าน ก็ค่อยๆเข้าใจเอาเองว่ากล้องเรามีวิธีทำงานยังไง ผมมารู้ทีหลังว่าผม “ไม่รู้” อะไรตั้งหลายเรื่อง และหนึ่งในนั้นคือ “ไม่รู้ว่ากล้องเรามันวัดแสงตรงไหม”
จำได้ว่าตอนถ่ายรูปม้วนแรกเสร็จเอารูปมาดู รู้สึกเลยว่าทำไมภาพมันสว่างกว่าปกติวะ เลยโทรไปถามช่างซ่อมกล้องท่านนึง ช่างอธิบายว่า “เครื่องวัดแสงในกล้องมันเสื่อมไปตามเวลา” ผมถามว่าแล้วมันเปลี่ยนอะไหล่ได้ไหม ช่างตอบประมาณว่า อย่าเลยหาอะไหล่ยาก ถึงมีก็คงจะเสื่อมไปเหมือนตัวนี้ เพราะมันก็เก่าๆตามกันไปหมด ตามยุคสมัยที่มันผ่านมานานแล้ว
แล้วทีนี้จะทำไงดี เท่าที่เข้าใจคงต้องใช้วิธี ชดเชยแสงเอาเอง แต่คำถามก็ตามมาทันทีว่าจะรู้ได้ไงว่าจะต้องชดเชยเท่าไหร่ คำตอบก็คือ เราต้องรู้ก่อนว่ากล้องเรามันวัดแสงเพี้ยนไปเยอะขนาดไหน
อ่ะทีนี้รู้ละว่าต้องรู้ให้ได้ก่อนว่ากล้องเรามันวัดแสงเพี้ยนไปทางไหน ปกติเราจะถ่ายออกมา “สว่างพอดี” แสดงว่าถ้าเพี้ยนก็คือ
ตั้งค่าตามที่กล้องวัดแสงได้ “สว่างพอดี” (o)
แต่ดันถ่ายออกมา “สว่างเกิน” (+) หรือ “มืดเกิน”(-)
ทีนี้ผมขอทดสอบด้วยตัวเองแบบบ้านๆกับเจ้ากล้องตัวนึงที่มีก่อน คือ Olympus OM2N
กล้องตัวนี้มีระบบอ่านค่าการวัดแสงเวลาเรามองเข้าไปที่ช่องมองภาพเป็นแบบเข็ม
โดยถ้าเข็มอยู่ตรงกลาง แสดงว่า “สว่างพอดี”
ถ้าขึ้นไปทาง + แสดงว่า “สว่างเกิน
ถ้าลงไปทาง – คือ “มืดเกิน”
ทีนี้ต่อไปมาดูการปรับค่าของกล้องกันนิดนึง
กล้องของผมตัวนี้ ที่เลนส์จะมีวงแหวนหน้าสุดสีดำ เอาไว้ปรับ f. Stop โดยปรับได้แบบทีละ 1. Stop คือ
1.8 > 2.8 > 4 > 5.6 > 8 > 11 > 16 ตัวเลขทั้งหมดห่างกัน 1 stop ยกเว้นจาก 1.8 ไป 2.8ที่ห่างน้อยกว่า 1 stop ถ้าให้ถูกต้อง ต้องเป็น 1.4 แต่เลนส์ตัวนี้ราคาไม่แพงจึงเริ่มต้นได้แค่ 1.8 ครับ
ตัวถัดมาคือวงแหวนปรับ Speed shutter สีเงินที่ตัวกล้อง โดยปรับได้ทีละ 1 stop เช่นกันคือ
1 > 2 > 4 > 8 > 15 > 30 > 60 > 125 > 250 > 500 > 1000
และจะมีวงแหวนสีดำสำหรับปรับชดเชยแสงแบบละเอียด (compensation) โดยสามารถปรับย่อยได้โดยซอย 1 stop ออกเป็น 3 ส่วนคือ 0 > 1/3 > 2/3 > 1
การจูนการวัดแสงแบบบ้านๆของผมเริ่มจากตรงนี้ครับ
1. ผมหาผนังสีเรียบในบ้านมา 1 จุด ที่แสงสว่างไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ตอนผมทดลองผมทำตอนกลางคืนเปิดไฟในห้องให้สว่าง ตอนแรกทดลองตอนกลางวันปรากฎว่าแสงที่เข้ามาทางหน้าต่างมันเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง เลยใช้ไม่ค่อยได้
2. พอได้ผนังที่ต้องการแล้ว ผมทดลองตั้งค่ากล้อง ที่ ISO 200 ปรับ f. Stop ไปที่ 2.8
3. ปรับ Speed shutter แล้วหาค่าที่กล้องวัดแสงได้ “สว่างพอดี” โดยให้เข็มในช่องมองภาพชี้ที่ตรงกลาง. ปรากฎว่าผมหาค่าที่เข็มมันชี้ตรงกลางไม่ได้แต่จะใกล้เคียงตรงกลางที่สุดโดยจะสูงไปทาง (+) นิดหน่อยตอนปรับ Speed ได้เท่ากับ 2
4. ผมหมุนวงแหวนชดเชยแสง ลบ ลงมา 1/3 Stop เข็มในช่องมองภาพจะลงมาอยู่ตรงกลางพอดีครับ
(ถ้าอยู่ในโหมด Manual จะชดเชยแสงลบ มันต้องหมุนวงแหวนไปทาง + แต่ถ้าอยู่ในโหมด Auto จะหมุนตรงตามความจริงครับ)
แปลว่า การวัดแสงของกล้องผมครั้งนี้ ถ้าผมจะถ่ายผนังนี้ให้ออกมาได้แสงสว่าง พอดี (o) โดยผมต้องการใช้ฟิล์ม ISO 200 และต้องการใช้ f. Stop 2.8 ผมต้องใช้ speed shutter ประมาณ 2.5 แต่เนื่องจากกล้องมันปรับ speed ที่วงแหวนได้แบบเต็ม Stop คือ จาก 2 ไป 4 เลย ผมจำเป็นต้องใช้ วงแหวนชดเชยแสง ซึ่งปรับได้ละเอียดกว่าคือ แบ่ง 1 stop ออกเป็น 3 ส่วนคือ ได้ speed เป็น 2 > 2.5 > 3 > 4 ผมเลยหมุนลงมาแค่ 1/3
สรุปวัดแสงที่ ISO 200 – f2.8 ได้พอดีที่ speed 2.5
ทีนี้ขั้นต่อไปผมลองโหลดแอพมาลงมือถือตัวนึง ชื่อว่า
Lux เป็นแอพฟรีใน appstore ครับ
เป็นแอพสำหรับแปลงมือถือของเราให้กลายเป็นเครื่องวัดแสง ทั้งนี้ผมจะทดลองว่ามันจะวัดได้ตรงกับ กล้องฟิล์มของผมไหม
พอเปิดแอพมาจะเป็นแบบนี้ครับ
เราสามารถตั้งค่าได้ สามส่วนหลักๆที่แถบด้านล่าง คือ ISO F STOP และ SPEED โดยค่าที่วัดแสงได้จะอ่านที่แถบด้านบนครับ
แต่ก่อนจะวัดต้องตั้งค่าแอพให้ตรงกับกล้องเราก่อน โดยคลิ้กที่รูปเฟือง ก็จะพาไปหน้าตั้งค่า
ที่ Aperture Stops (f stop) ผมตั้งเป็น Full ตามกล้อง
ที่ Shutter Stops (Speed shutter) ผมตั้งเป็น Thirds เพราะผมมีวงแหวนชดเชยแสง ที่แบ่งย่อย Stop ได้ สามส่วน
ที่ ISO Stops ผมตั้งเป็น Full
พอตั้งค่าเสร็จ ผมก็ใช้แอพตัวนี้ลองวัดแสงที่ผนัง โดยปรับค่าให้เหมือนที่กล้องคือ
ISO 200 – F STOP 2.8 ส่วน Speed ให้แอพหาให้ซึ่งได้เท่ากับ 1/8s (บนกล้องเราจะย่อเหลือแค่เลข 8 )
แปลว่า แอพตัวนี้
วัดแสงที่ ISO 200 – f2.8 ได้พอดีที่ speed 8
กล้องผมวัดแสงที่ ISO 200 – f2.8 ได้พอดีที่ speed 2.5
ต่างกับกล้องผมอยู่ 1 Stop กับอีก 2/3
คือจาก speed 2.5 > 3 > 4 > 5 > 6 > 8
เฮ้ยจริงดิ กล้องเราวัดแสงเพี้ยนไปเกือบ 2 stop เลยเหรอวะ เริ่มไม่เชื่อใจแอพครับ. หาที่พึ่งทางใจอื่นด่วน โดยการไปเอากล้องดิจิตอลมาตัวนึง แล้วตั้งค่าเป็น โหมด A ตั้ง ISO 200. f 2.8 แล้ววัดแสงที่ผนัง
ปรากฎว่า!!!!
ได้เท่าในแอพเปะๆเลย
อ่ะซูมให้ดู
สรุปเอาเองว่า กล้อง Olymplus OM2N ของผมตัวนี้ น่าจะวัดแสงเพี้ยน ไปทาง
สว่างเกิน (+) โดยประมาณ 1 stop กับ 2/3
ทีนี้ถ้าจะถ่ายรูปในสถานการณ์จริงจะต้องทำไง
1. ถ้าอยู่ในโหมด Manual ผมวัดแสงได้เท่าไหร่ที่ “สว่างพอดี” ผมจะต้องตั้งค่ากล้องให้มัน “มืดลง” (-) 1 stop กับ 2/3
2. ง่ายหน่อย ถ้าผมอยู่ในโหมด Auto ผมจะต้องหมุนวงแหวนชดเชยแสง ค้างไว้ล่วงหน้าเลยคือ (-) 1 stop กับ 2/3
ทีนี้ถามว่าแล้วถ้ากล้องที่ไม่มีวงแหวนชดเชยแสงล่ะ จะทำยังไง ซึ่งผมก็โดนอีก ทั้งกล้อง คอมแพคและ SLR เลย โดยเฉพาะ เจ้า NIKON FM2
ที่มีการปรับ f stop แบบ เต็ม stop ปรับ speed แบบเต็ม stop และไม่มีวงแหวนชดเชยแสง
และถ้ามองในช่องมองภาพจะใช้สัญลักษณ์แสงการวัดแสงเป็น O + –
ผมลองเหมือนตอนลองวัดแสงกับ Olympus โดยตั้งค่า ISO 200 เลือก f. stop 2.8 ปรากฎว่า
ถ้าปรับ speed = 2 จะได้สัญลักษณ์ O+ แปลว่าสว่างเกินไปนิดหน่อย
ถ้าปรับ speed = 4 จะได้สัญลักษณ์ O- แปลว่ามืดเกินไปนิดหน่อย
คือหาค่าพอดีไม่เจอบนผนังนี้ ซึ่งแปลว่า ค่าแสงที่ผมวัดได้พอดีน่าจะมี speed อยู่แถว 2-4 ซึ่งก็แปลว่ากล้องตัวนี้ วัดแสงเพี้ยนไปแถวๆ 1 stop กว่าๆ เหมือนกัน (จากค่าที่ควรจะเป็นคือ 8)
และกล้องตัวนี้ไม่มีวงแหวนชดเชยแบบละเอียดด้วย ทำไงดี จะให้มันลงตัว เป็น O ผมเลยมานึกได้ว่าตอนถามช่างคนที่เล่าให้ฟัง เค้าบอกให้แก้ที่ ISO แทน
โอเคถ้างั้นเรามาโกง ISO กัน
กล้องตัวนี้มันปรับ ISO ได้ แบบ ซอย 1 stop ได้ 3 ส่วน เช่นถ้าอยู่ที่ ISO 200 จะไป 400 เท่ากับ 1 stop แต่สามารถซอยออกสามส่วนเป็น
200 > 250 > 320 > 400
ผมเลยลองปรับที่กล้อง โดยใช้ ค่า Speed ที่ควรได้ให้เป็น speed 8 แล้ว ทดลองหมุนแป้น ISO ให้เจอตัวO แล้วมันก็เจอตอนผมหมุนไปลงที่ ISO 500 ไฟในจอแดง เป็น (O)
แสดงว่าเจอค่าที่พอดีแล้ว และแสดงว่า กล้องตัวนี้เพี้ยนไปทางสว่างเป็นจำนวนราวๆ 1 stop กับอีกประมาณ 1/3 stop
คือจาก ISO 200 > 250 > 320 > 400 > 500
แปลว่าในสถานการณ์จริง ถ้าผมจะถ่ายให้พอดี ผมต้องชดเชย ISO ให้มากขึ้น 1 1/3 stop
เช่น ใช้ฟิล์ม 200 ก็ต้องตั้งเป็น 200 > 250 > 320 > 400 > 500
ใช้ฟิล์ม 400 ก็ต้องตั้งเป็น 400 > 500 > 640 > 800 > 1000
ก็หลอกๆกล้องกันไป
เท่าที่ลองดูภาพก็ออกมาใช้ได้นะครับ ไม่สว่างเวอร์เกินไปเหมือนตอนถ่ายม้วนแรกๆ
ก็คงจะประมาณนี้นะครับมันก็ต้องทำใจหน่อย สำหรับกล้องฟิล์มที่นับวันก็ยิ่งเก่าลงไปตามกาลเวลา แต่ก็ยังดีที่มีพวกเราชาวฟิล์มช่วยทำให้มันกลับมามีค่ามากขึ้นอีกครั้ง
บทความนี้อาจจะไม่ตรงเป๊ะๆนะครับ อาจจะใช้กับกล้องบางตัวไม่ได้ หรือใช้ได้แต่อาจจะไม่เหมือนกัน ยังไงผมต้องขออภัยไว้ด้วยครับ ขอบคุณมากครับ