หลังจากทางโลโม่ปล่อยหมัดเด็ดด้วยการเปิดตัวฟิล์มสีใหม่ที่ชื่อ Metropolis เมื่อตอนต้นปี ยังไม่ทันไรเลย มาอีกแล้ว!! คราวนี้มาพร้อมกล้องซะด้วย เฮือกกก ขอหายใจแป็บนะโลโม่
SIMPLE USE FILM CAMERA
LOMOCHROME METROPOLIS
ชื่ออาจจะยาวๆหน่อย ไม่เป็นไร ขอเรียกว่า กล้อง Lomo Metropolis ละกันครับ , มาเริ่มกันที่สเปกของกล้องกันนิดนึงก่อนครับ รายละเอียดไม่ได้มีเขียนไว้แต่คาดว่าน่าจะประมาณนี้
- ตัวกล้องสามารถเปลี่ยนฟิล์มใส่ใหม่ได้
- เลนส์ ราวๆ 30-32 mm.
- f.stop และ shutter speed ราวๆ f.8-11 / 120s
- ระยะโฟกัส 1 เมตรขึ้นไป
- มีแฟลชในตัว โดยใช้พลังจาก ถ่าน AA 1 ก้อน ที่มีมาให้แล้ว
- ระยะยิงแฟลชประมาณ 1-2 เมตร
- มีแผ่นฟิวเตอร์แฟลชมาให้ ใช้สำหรับเปลี่ยนสีแฟลชตอนถ่าย
- โหลดฟิล์ม Lomochrome Metropolis มาให้แล้ว ถ่ายได้ 27 ภาพ
- ราคา 890 บาท
มาดูหน้าตากัน
ในส่วนของการใช้งานนั้นง่ายมากครับ
1.เลื่อน แป้นเลื่อนฟิล์ม ที่ด้านหลังกล้อง ไปทางขวาจนมันสุด
2.เล็งในช่องมองภาพเพื่อจัดองค์ประกอบ
3.กดชัตเตอร์เพื่อถ่าย
4.เริ่มถ่ายภาพต่อไปก็เริ่มขั้นตอนที่ 1-3 อีกรอบ
ในกรณีแสงน้อยต้องการเปิดแฟลช ให้กดปุ่มเปิดแฟลชค้างไว้จนไฟที่ด้านบนกล้องสว่างแฟลชจึงจะพร้อมทำงาน
ถึงการใช้จะง่ายแต่เราควรจะรู้ด้วยนะครับว่ากล้องประเภทนี้มันปรับแต่งค่าในการถ่ายไม่ได้ และมันถูกออกแบบมาให้ใช้งานในที่ที่มีแสงสว่างพอสมควร เช่น กลางแจ้ง แดดดีดี และถ้าเราเข้าในร่มหรือในอาคาร ต้องเปิดแฟลชเท่านั้นครับไม่งั้นมืดตึ้บ
ผมเองใช้วิธีหาแอปวัดแสงติดมือถือไว้ เพื่อเช็คค่าแสงก่อนถ่ายครับ ผมตั้งให้แอปวัดแสงที่ iso 400 ตามฟิล์มของกล้องรุ่นนี้ แล้วยกมาเช็คในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าต้องเปิดแฟลชไหม คือถ้าสมมุติยกขึ้นมาแล้วแอปวัดแสงที่ f.11 ได้ค่า shutter speed ต่ำกว่า 125s ผมจะเปิดแฟลชตอนถ่ายครับ แต่ถ้าได้มากกว่าหรือเท่ากับ 125s ก็ไม่ต้องเปิดแฟลชก็ได้
และอีกเรื่องคือตอนมองในช่องมองภาพควรกะไว้นิดนึงนะครับว่าภาพที่ออกมาจะมีพื้นที่กว้างกว่าที่เราเห็น
ก่อนหน้าที่จะได้กล้องตัวนี้มานั้น แสงสว่างในกทม.ดีมากครับ เหมาะกับการลองกล้องสุดๆ ผมก็หาวันว่างเลย กะว่าจะไปลองถ่ายช่วงบ่ายๆตามที่เที่ยวต่างๆ ปรากฎว่าวันนั้นเมฆครับ มาจากไหนไม่รู้ คือครึ้มกันทั้งประเทศ ทำไงได้ออกจากบ้านมาแล้วก็ต้องลองครับ มามาไปดูภาพกันหน่อย
หลังจากบ่ายผ่านไป ก็เข้าสู่ช่วงเย็นที่ต้องพึ่งแสงเอียงๆที่สวยๆครับ
ก็ประมาณนี้ครับ เท่าที่ออกมาโทนสีของภาพก็เป็นไปตามที่คิดครับ คือสวยเหมือนเวลาที่ถ่ายด้วยฟิล์ม Metropolis ที่ออกมาก่อนหน้านี้
สรุปคร่าวๆ
- คอนทราสสูง แต่โทนสีไม่ฉูดฉาด พื้นที่เงาจะเข้มๆ
- ภาพจะคมสุดที่กลางภาพ และจะค่อยๆเบลอขึ้นที่ขอบ
- มีเกรนเม็ดเล็กๆให้เห็นทั้งภาพกลางแจ้งและในร่ม แต่สวยครับไม่ได้ใหญ่โตจนดูไม่งาม
- ภาพจะบิดเบี้ยวอยู่บ้าง จะเห็นได้จากถ้าถ่ายอะไรที่มีเส้นตรงๆ
- แผ่นฟิวเตอร์สีแฟลช แรกๆจะหมุนยากมาก แต่พอผ่านไปซักพักก็ลื่นขึ้นครับ
- อย่าขึ้นฟิล์มทิ้งไว้ล่วงหน้า เพราะอาจเผลอไปกดชัตเตอร์ได้ ผมโดนไปรูปนึงเพราะดันขึ้นฟิล์มไว้แล้วเอากล้องใส่กระเป๋ากางเกง
- กล้องพกง่ายมากเล็กๆ เบาๆ สบายๆ
อ่ะตามประเพณีของอะฟิล์ม เนื่องจากกล้องตัวนี้มันสามารถโหลดฟิล์มใหม่ได้หลังจากที่ถ่ายเสร็จแล้ว ทำให้ถ้ารักษาดีๆก็ใช้ได้ยาวๆครับ วันนี้ก็เลยขาดไม่ได้มาดูวิธีโหลดฟิล์มกัน
ในกรณีฟิล์มหมด จะเอาฟิล์มออกจะเป็นแบบนี้ครับ
และถ้าจะโหลดฟิล์มใหม่ก็ตามนี้ครับ
ก็ประมาณนี้ครับผม ส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันเป็นกล้องที่เหมาะกับวันสบายๆ ที่ต้องออกกลางแจ้ง เพราะพกพาสะดวกมาก ในส่วนของราคา 890 บาทก็เรียกว่าแพงกว่าบรรดากล้องประเภทเดียวกันที่วางขายในท้องตลาด แต่ถ้าเอาไปเทียบกับกล้องแบบนี้แต่เปลี่ยนฟิล์มได้ ก็ทำให้รู้สึกว่ามันก็คุ้มค่าครับ เพราะนำกลับมาใช้ได้ใหม่เรื่อยๆ ถึงวัสดุจะไม่ได้คงทนมากนัก แต่ถ้ารักษาดีๆก็อยู่กันได้ยาวๆเหมือนกันนะครับ ยังไงลองพิจารณาดูกันนะครับผม
ถ้ามีโอกาสที่แดดดีๆผมจะลองออกไปถ่ายอีกซักรอบครับ วันนี้ขอตัวไปก่อนจ้า
โน้ต อะฟิล์ม
คือผมใช้กล้องพร้อมฟิล์ม แบบที่เราเรียกกันว่า "กล้องใช้แล้วทิ้ง" มาซักพักละครับ ก็ถ่ายไปหลายตัวอยู่ พอถ่ายเสร็จผมก็จะเก็บกล้องเหล่านั้นมาโหลดฟิล์มใหม่เพื่อถ่ายอีกรอบ ซึ่งมันมีปัญหาอยู่นิดนึงครับ คือวิธีการโหลดฟิล์มใหม่ที่ยากอยู่พอสมควร ทำให้ไปไปมามาไม่ค่อยอยากนำกล้องแบบนี้กลับมาใช้ใหม่ซักเท่าไหร่ แต่ในวันนี้ Kodak ได้ออกกล้องใหม่มาตัวนึงครับ มันช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ดีทีเดียว ไปดูกันครับ
KODAK M35
แว่บแรกที่เห็นกล้องตัวนี้นะครับ เอาแบบตรงๆคือ "ซื้อแน่ๆ" คนอื่นจะว่าไงไม่รู้ครับ แต่ผมชอบทรงกล้องและสีเหลืองดำของมันมาก....และตามสเต็ป คือรู้ตัวอีกทีกล้องก็มาตั้งบนโต๊ะแล้วครับ
โกดักทำกล้องรุ่นนี้ออกมา 3 สีครับ คือ เหลือง เขียว และชมพู
มาดูกันครับว่ากล้องแบบนี้ราคาไม่เกินพัน Spec มันเป็นไงบ้าง
- วัสดุพลาสติก ABS ผิวสัมผัสจะเงาๆหน่อย
- กล้องฟิล์มขนาด 135 เปลี่ยนฟิล์มได้
- ใส่ฟิล์ม iso 200-400 (แต่จริงๆใส่ 800 ก็ได้ครับยิ่งดีเลย)
- เลนส์ 31 มม. ระยะโฟกัสเริ่มที่ 1 เมตร
- F10 , Speed Shutter 1/120s
- แฟลชในตัว
- แบตเตอรี่ ใช้ถ่าน AAA 1 ก้อน
จาก Spec ดูแล้วก็ไม่ได้ต่างจากกล้องใช้แล้วทิ้งยี่ห้ออื่นๆเท่าไหร่ และที่เหมือนกันแน่ๆคือมันเหมาะสำหรับการถ่ายภาพในที่ที่มีแสงสว่างมากๆ และต้องเปิดแฟลชทุกครั้งเมื่อถ่ายในที่ร่มหรือสภาพแสงน้อย
ลองแกะกล่องมาดูกันครับ
ด้านหน้า
บอดี้กล้องใหม่ ทรงนี้ไม่เคยเห็นครับ แต่คิดว่าเดี๋ยวต้องมีกล้องที่ใช้บอดี้หน้าตาแบบนี้ออกมาในยี่ห้ออื่นๆแน่ๆแต่ไปทำสีทำสติ้กเกอร์กันใหม่. ที่ด้านนี้หลักๆที่เราต้องใช้ก็คือปุ่มเปิดแฟลชเป็นแบบเลื่อนซ้าย ขวา เปิดปิดครับ
ด้านบน
จะมีปุ่มชัตเตอร์ , ตัวนับจำนวนภาพ , ไฟแจ้งแฟลชพร้อมใช้งาน , แล้วก็ตัวกรอฟิล์มครับ
ด้านหลัง
เป็นฝาปิดสีดำ มีช่องมองภาพ กับตัวเลื่อนฟิล์มที่นิ้วโป้งขวามือ
ด้านล่าง
เป็นช่องใส่ถ่าน AAA 1 ก้อน สำหรับยิงแฟลชครับ ข้างๆกันมีปุ่มกดสำหรับการกรอฟิล์มครับ
ด้านข้างซ้าย
เป็นตัวเลื่อนเปิดฝาหลังครับ
ด้านใน
ห้องเครื่องด้านในผมว่าดูเรียบร้อยกว่าหลายๆรุ่นนะครับ และเป็นกล้องแบบใส่ฟิล์มช่องซ้ายแล้วดึงฟิล์มไปม้วนแกนทางขวา เหมือนกับกล้องฟิล์มส่วนใหญ่ แบบนี้ถนัดดีครับ
ในส่วนของช่องมองภาพ
บอกเลยว่าตอนถ่ายให้เผื่อๆไว้หน่อยนะครับ เพราะตาม Spec บอกว่าครอบคลุมพื้นที่ภาพแค่ 70% เท่านั้น แปลว่าอะไรที่เราไม่เห็นในช่องนี้จะออกมาอีกเพียบเลยครับสำหรับรูปจริง
การใช้งาน
ก็ง่ายๆครับตามสเต็ปกล้องฟิล์มทั่วไปเลย
1.เปิดฝาหลังแล้วดันสลักกรอฟิล์มขึ้นด้านบน
2.ใส่ฟิล์มอะไรก็ได้ตั้งแต่ iso 200 ขึ้นไป ยิ่งเยอะภาพยิ่งสว่างขึ้น เพราะกล้องเค้าฟิก f stop กับ speed shutter ไว้แล้ว(ในภาพผมใช้ฟิล์มที่เสียแล้วมาทดลองใส่ให้ดูนะครับ) ใส่เสร็จก็ดันสลักกลับเข้าที่เดิม
3.จากนั้นให้เอาช่องหนามเตยของหางฟิล์มไปเกี่ยวกับเดือยตรงนี้ ถ้าไม่เห็นให้หมุนตัวเลื่อนฟิล์มไปเรื่อยๆ จะมีอยู่ 1 อันครับ
4. หมุนตัวเลื่อนฟิล์มให้ฟิล์มเลื่อนต่อเข้าไปอีกซักหน่อย แล้วจัดให้หนามเตยของฟิล์มเข้าไปอยู่ในเฟืองให้เรียบร้อย จากนั้นปิดฝาหลังครับ
5. พอปิดฝาหลังแล้วให้เลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มไปทางขวาจนสุด ขณะหมุนให้สังเกตด้วยว่าตัวกรอฟิล์มทางด้านซ้ายหมุนตามด้วยหรือเปล่า ถ้าหมุนตามแสดงว่าถูกต้อง ให้กดชัตเตอร์ แล้วเลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มจนสุดอีกครั้ง กล้องก็พร้อมใช้งานแล้วครับ
(ในกรณีตอนเลื่อนฟิล์มแล้วตัวกรอฟิล์มไม่หมุนตาม อาจจะเกิดจากใส่ฟิล์มไม่ดีจนมันหลุด ให้เปิดฝาหลังแล้วใส่ฟิล์มใหม่ครับ)
6. กรณีเข้าที่ร่มหรือแสงน้อยต้องเปิดแฟลชเสมอครับ ให้เราเลื่อนเปิดแฟลชที่ด้านหน้า รอจนไฟที่ด้านบนสว่าง จึงจะกดชัตเตอร์ได้ครับ.
7.ถ้าฟิล์มหมดจะเกิดอาการตัวเลื่อนฟิล์มเลื่อนต่อไม่ได้ หรือเลื่อนได้แต่กดชัตเตอร์แล้วไม่ทำงานแสดงว่าฟิล์มหมดครับ ถ้าจะเอาฟิล์มออก ให้พลิกที่ด้านล่างแล้วกดปุ่มกรอฟิล์มสีดำ "ค้างเอาไว้" ย้ำนะครับว่ากดค้าง
8.ขณะที่ยังกดปุ่มที่ด้านล่างค้างไว้ให้เราหมุนตัวกรอฟิล์ม โดยหมุนตามลูกศรที่เห็นครับ ค่อยๆหมุนช้าๆไปเรื่อยๆมันจะรู้สึกฝืดๆตึงๆหน่อย และพอเราหมุนจนฟิล์มกลับเข้ากลักหมดแล้ว จะรู้สึกน้ำหนักการหมุนมันจะเบาลงมาก ให้เปิดฝาหลังแล้วดึงแกนตัวกรอฟิล์มขึ้นเพื่อจะเอาฟิล์มออกมาครับ
แค่นี้แหละครับวิธีใช้ง่ายๆ ต่อไปมาดูในส่วนของภาพถ่ายที่ออกมากันบ้างครับ รอบนี้ผมถ่ายไปทั้งหมด 4 ม้วนด้วยกันครับ ลองมาดูรูปกันครับ
1.KODAK ULTRAMAX 400
มีความรู้สึกส่วนตัวว่าฟิล์ม 200 มันสปีดต่ำไปนิดกับกล้องตัวนี้ครับ เลยจัด iso 400 ก่อนเลย
เริ่มจากถ่ายตอนเย็นๆแล้วลากยาวไปช่วงหัวค่ำแบบลองไม่เปิดแฟลชเลย ก็จะได้ประมาณนี้ครับ
พอรุ่งขึ้นก็รีบออกเดินทางไปเกาะรัตนโกสินทร์เลยครับ กลัวฝนมันตกเดี๋ยวไม่ได้ลองของอีก
เริ่มต้นที่วัดโพธิ์
ต่อที่กระทรวงกลาโหมตึกเหลืองๆ
จากนั้นเดินต่อที่ด้านนอกวัดพระแก้ว และเข้าในวัดไม่ได้ เพราะลืมไปดันใส่กางเกงขาสั้นมา
ผ่านศาลหลักเมือง
แล้วเดินต่อเข้าย่าน แพร่งนรา
หมดม้วนแรก สังเกตเลยว่าท้องฟ้าออกมาสีน้ำเงินกว่าปกติ เพราะ Ultramax ชอบแจกสีน้ำเงินแบบนี้ แต่ชอบจัง
ภาพรวมๆคือ ภาพมุมกว้างกว่าที่คิดครับ ต้องถ่ายเผื่อหน่อยตอนจัดองค์ประกอบ , ภาพจะคมสุดตรงกลางภาพ แล้วจะเริ่มเบลอเมื่อไปถึงขอบภาพครับ
ต่อที่ม้วน 2 ขอเพิ่ม iso ขึ้นอีกนิดละกัน
2. LOMO 800
ผ่านแพร่งนรา มาที่เสาชิงช้า วัดสุทัศน์ฯ
ลองยิงแฟลชซะหน่อย
เดินต่อไปอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
เดินยาวๆต่อไปวัดราชนัดดา และโลหะปราสาท
แล้วก็มาถึงจุดที่ต้องเปิดแฟลชอีกครั้งคือใต้ฐานโลหะปราสาท จะมีทางเดินรอบๆ คืออยู่ในร่ม ตามกฎที่ผมบอกคือต้องเปิดแฟลชแน่นอน เลยเปิดไป 1 รูป
และด้วยความอยากลองเลยขอแบบปิดแฟลชดูสิจะมืดขนาดไหนเชียว
อ้าวออกมาใช้ได้อยู่ อาจจะเพราะแสงสะท้อนไปมาบนเพดานสีขาวเลยทำให้ภาพดูสว่างกว่าปกติ
มองเห็นภูเขาทองอยู่ไกลๆ แต่วันนี้คงเดินไม่ถึง เพราะออกนอกเส้นทางไปเยอะ
จากนั้นก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าสามยอด คือจะกลับบ้านละแต่แบบฟิล์มยังไม่หมดม้วนสอง เลยตัดสินใจแวะหัวลำโพงก่อน
มืดๆแบบไม่ยิงแฟลช
อ่ะลองเปิดแฟลช
ออกมาด้านนอก เออค่อยดีขึ้นหน่อย
หลังจากวันนั้นหมดไปสองม้วนกลับมาบ้านล้างฟิล์มมานั่งดูก็เออ เฮ้ยกล้องมันก็ทำได้ดีนะภาพออกมาดีเลย แม้จะไม่ดีมาก แต่เทียบในระดับกล้องพร้อมฟิล์มยี่ห้ออื่นๆผมว่าตัวนี้ทำได้ดีนะ
และเมื่อเวลาผ่านไปเริ่มรู้สึกอยากลองเอา KODAK M35 ตัวนี้มาใส่ฟิล์มขาวดำบ้าง ภาพจะออกมาเป็นยังไงนะ ว่าแล้วก็จัดเลย ออกเดินทางกันอีกครั้ง
3. YASHICA BLACK & WHITE 400
เหมือนเดิมเลยคือใช้บริการรถไฟฟ้ามาส่งที่สถานีสนามไชย ออกที่ทางออกปากคลองตลาดแล้วลุยทันที
เริ่มเดินจาก ตลาดดอกไม้ที่ปากคลองตลาดไปที่สะพานพุทธครับ
พอข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาที่ฝั่งธนแล้ว ก็เดินเข้าวัดประยูรฯ ก่อนเลย
โบสถ์ ซางตาครู้ส
เดินต่อไปที่วัดกัลยาณมิตร
วัดอรุณ
หมดม้วนสามอย่างรวดเร็ว กลับไปลองฟิล์มสีต่อเลยดีกว่า
4. KODAK ULTRAMAX 400
จากนั้นนั่งเรือข้ามฝากไปยังท่าเตียน
เดินยาวๆผ่ายวัดโพธิ์ มาออกที่รถไฟฟ้าสถานีสามยอดครับ
สรุปการใช้งาน
หลังจากโดนไปเต็มๆ 4 ม้วนก็พอจะเห็นภาพมากขึ้นแล้วนะครับว่ากล้องมันทำงานได้น่าพอใจขนาดไหน ส่วนตัวผมคิดแบบนี้ครับ
- อย่างแรกคือเป้าหมายของ KODAK ที่ทำกล้องออกมาให้สามารถเปลี่ยนฟิล์มได้ มันเลยทำให้เรานำกล้องกลับมาใช้งานได้อีก ซึ่งค่าตัวไม่ถึงพัน ใช้งานกันยาวๆขึ้นถือว่าคุ้มมากเลยครับ
- คุณภาพของภาพ ผมคิดว่ามันทำได้ดีกว่านิดนึง ในกล้องระดับเดียวกัน ภาพที่ออกมามีความสว่างและความคมที่กลางภาพ แล้วจะค่อยๆลดลงเมื่อเข้าสู่ขอบภาพ
- การใช้งานง่ายมาก แต่ต้องคำนึงถึงกฎเหล็กอยู่เสมอด้วยคือ มันเหมาะกับการถ่ายภาพในที่มีแสงสว่างมากๆ แต่ถ้าเข้าที่ร่มแบบเลี่ยงไม่ได้ ต้องเปิดแฟลช ซึ่งแฟลชก็มีระยะทำการไม่กี่เมตรเท่านั้นครับ เปิดแฟลชเซลฟี่แบบนั้นพอไหว (แต่สังเกตว่าพอปิดแฟลชแล้ว ภาพที่ถ่ายต่อไปแฟลชจะยังยิงออกมา 1 ทีเสมอ)
- วัสดุนั้นไม่ได้ดีมากครับ ก็อย่างที่เราเรียกว่ากล้อง ป๊อกแป๊ก ก็คงจะไม่ผิดนัก เพราะว่าผลิตจากวัสดุพลาสติกที่ทำให้ราคาถูกลง แต่ผมเองกลับคิดว่าถึงจะเป็นพลาสติกแต่งานเค้าก็ออกมาเนี๊ยบสวยดีนะครับ หน้าตาสีสันทำให้รู้สึกน่าใช้ขึ้นเยอะ
- ถ้าถามว่ากล้องนี้เหมาะกับใคร ผมว่าเหมาะกับทุกคนแหละครับ มือใหม่ที่อยากจะลองสัมผัสกล้องฟิล์มดูว่าภาพที่ออกมามันให้อารมณ์ภาพแบบไหน ผมว่าก็เหมาะเพราะราคาไม่แรงเลย ส่วนคนที่ใช้กล้องฟิล์มประจำอยู่แล้ว จะซื้อมาใช้สำหรับวันที่อยากถ่ายอะไรเล่นๆ อยากเดินตัวเบาๆ พกกล้องเข้ากระเป๋าง่ายๆ ผมก็ว่ามันใช้ได้ดีเลยแหละ
สำหรับอนาคตนะครับ ผมว่าค่ายอื่นๆคงจะมีกล้องออกมาในสไตล์นี้อีกแน่นอนก็ต้องดูกันต่อไปครับ
สำหรับวันนี้ผมคิดว่า กล้อง KODAK M35 ซื้อมาใช้งานได้ครับ คุ้มมาก
ขอบคุณมากๆนะครับที่เข้ามาอ่านกัน
โน้ต อะฟิล์ม
ใช้กล้องพร้อมฟิล์มมาแล้วก็หลายตัว แต่ยังไม่เคยเห็นตัวไหนบ้าพลังขนาดนี้ บอกเลยครับว่ากล้องพร้อมฟิล์มหรือกล้องใช้แล้วทิ้งตัวนี้ ไม่ได้มีดีแค่คำว่า Zoom
ZOOM ONE TIME USE CAMERA
ขอเรียกเค้าสั้นๆว่ากล้อง Zoom ละกันนะครับ เพราะก็ยังไม่รู้ว่าตกลงเป็นของยี่ห้ออะไรกันแน่ มาดูหน้าตากันหน่อยดีกว่าครับ
สีฟ้าสดใสมาเลย
ด้านหน้า จะออกแนวปูดๆที่บริเวณเลนส์อยู่ซักหน่อยครับ ที่ด้านบนซ้ายจะเห็นตัวเลื่อนเพื่อสลับเลนส์ครับ โดยพอเราเลื่อนตัวนี้ไปที่คำว่าซูม ก็จะได้ภาพที่เปลี่ยนจาก 32มม.ไปเป็น 45 มม. ครับ อ๋อตัวนี้มีแฟลชด้วยนะครับ คือจะมีปุ่มเปิด FLASH อยู่ที่ด้านหน้านี้ด้วยครับ
ด้านบน ง่ายๆไม่มีอะไรมากครับ มีปุ่มชัตเตอร์ และตัวนับจำนวนภาพที่ยังเหลือครับ
ด้านหลัง หลักๆคือมีคำอธิบายการใช้งานง่ายๆติดอยู่ครับ โดยรวมๆคือมีตัวเลื่อนฟิล์ม ช่องมองภาพ และไฟแสดงสถานะแฟลชครับ
ในส่วนของช่องมองภาพด้านหลังสามารถปรับตามการซูมของเลนส์ได้ด้วยครับแบบนี้ดีมาก
อันนี้มุม ปกติ 32มม.
อันนี้ตอนซูมแล้ว 45มม.
มาดู Spec กันซักนิดเพื่อความเข้าใจครับ
-กล้องใส่ฟิล์ม ISO 400 จำนวน 27 ภาพมาให้ครับ
-มี 2 เลนส์ 32 และ 45 มม. สามารถสลับไปมาจากตัวเลื่อนด้านหน้า
-ระยะโฟกัสเริ่มต้นที่ 1.20ม.
-มีแฟลช โดยก่อนใช้ต้องกดชาร์จซักแปปนึงครับ
การใช้งานไม่ต่างจากกล้องพร้อมฟิล์มทั่วไปครับ
1.เลื่อนฟิล์มที่ตัวเลื่อนด้านหลัง
2.เล็งภาพที่ช่องมองภาพ ถ้าจะซูมก็เลื่อนตัวเลื่อนที่ด้านหน้า
3.กดชัตเตอร์
เริ่มถ่ายภาพใหม่ก็เริ่มขั้นตอนที่1-3 ใหม่ครับ
โอเคมาดูรูปกันดีกว่าจ้า
ไปดูไฮไลท์ของกล้องตัวนี้ก่อนเลยครับ ในเรื่องของการซูม
มุมมองปกติ
มุมมองตอนซูม
อีกซักรอบ มุมมองปกติ
มุมมองตอนซูม
ส่วนตัวคิดว่าเฮ้ยมันเวิร์คนะรู้สึกว่าทำให้การจัดองค์ประกอบมันหลากหลายขึ้นนะครับ บางรูปตอนเราจะถ่ายมันเหมาะกับมุมกว้าง บางรูปมันก็น่าจะเข้าไปใกล้ขึ้นอีก สนุกไปอีกแบบครับที่มันเปลี่ยนไปมาได้
ไปดูรูปอื่นๆกันครับ ไปลองกันที่ทะเลดีกว่า
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่านะครับ แต่คิดว่าภาพออกมาดีเลยครับ ไม่ค่อยมีอาการขอบภาพเบลอๆเหมือนกล้องตัวอื่นๆ
อ่ะไปว่ากันเรื่องแฟลชที่เค้าให้มาหน่อย อันนี้ผมต้องบอกตรงๆว่าไม่ค่อยชอบระบบแบบนี้เท่าไหร่ครับ คือถ้าเราจะเปิดแฟลชเราต้องกดปุ่มเปิดที่หน้ากล้องค้างเอาไว้แปปนึง จากนั่นก็ถ่ายได้ตามปกติ แต่ในความเป็นจริงระบบมันเป็นแบบ รีชาร์จแฟลชออโต้ครับ แปลว่าอะไร
แปลว่าถ้าเราเปิดแฟลชแล้วเราเดินถ่ายภาพต่อเนื่อง กล้องจะรีชาร์จแฟลชตลอด ทำให้ทุกรูปที่ถ่ายต่อเนื่องนั้นแฟลชจะออกตลอด ซึ่งบางทีเราอยากจะถ่ายแบบไม่เปิดแฟลช หรือแอบถ่ายอิริยาบทของคนทีเผลอ แฟลชออกวูบมา มันจะอายๆหน่อยครับ ผมเลยใช้วิธีแบบบ้านๆคือ เอานิ้วปิดหน้าแฟลชตอนถ่ายไม่ให้แสงออกครับ แต่ถ้าเราไม่ได้ใช้กล้องนานๆหน่อย แฟลชมันก็จะปิดไปเองครับ อยากให้เค้าทำตัวเปิดปิดแฟลชแบบตรงไปตรงมาไปเลยครับน่าจะสะดวกกว่า
ภาพเปิดแฟลชจะประมาณนี้ครับ ขาววอกๆๆๆ
ถ่ายย้อนแสงจะประมาณนี้ครับ
ย้อนแสงเปิดแฟลช
ไปร้านกาแฟนี่รู้นิสัยกันครับ ไม่กล้าถ่ายข้างในมืดๆเลย ถ่ายข้างนอกพอได้ครับ
สรุปโดยรวมๆนะครับ
- จากการที่ได้ลองมาเต็มๆ 1 ตัว บอกเลยว่าการใช้งานก็ง่ายๆเหมือนกล้องพร้อมฟิล์มตัวอื่นๆครับ
- ฟังค์ชั่นการซูม ใช้งานได้จริงและมีประโยชน์ครับ หลายๆภาพกำลังจะถ่ายที่มุมปกติ แต่พอลองซูมดู ก็เฮ้ยรู้สึกภาพมันน่าจะออกมาดีกว่าปกติจริงๆ
- เหมาะกับการถ่ายภาพในที่สว่างๆมากกว่าที่ร่มและที่มืดครับ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ต้องถ่ายกลางคืน แฟลชก็ช่วยให้มีโอกาสได้ภาพมากขึ้นแน่นอนครับ
- ระบบแฟลชน่าจะเป็นแบบเปิดปิดครับจะเยี่ยมไปเลย
- กระดาษที่ติดตัวกล้องมาด้านนอกผมคิดว่าพอแกะออกแล้วใช้งานสะดวกกว่าเยอะ
- ภาพที่ออกมาผมว่าสวยเลยนะครับ คมใช้ได้เลย
พอถ่ายเสร็จแล้วนะ ทีนี้ก็มาถึงในส่วนของการแกะเอาฟิล์มออกไปล้างครับ
มีสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ต้องเตือนกันก่อนนะครับ
ระวังอย่าไปจับชิ้นส่วนที่ไม่ใช่พลาสติก เพราะไฟอาจจะช็อตได้ครับ เราเตือนแล้วนะ
อ่ะมาแกะกันเลย
รอบตัวกล้องจะมีสลักล็อคหน้าตาแบบนี้อยู่ 4 จุด ให้ใช้ไขควงปากแบนค่อยๆแงะจนฝาหลังหลุดออกมาครับ
พอเอาฝาหลังออกมาได้ก็จบแล้วครับจะเจอฟิล์ม iso 400 แบบ 27 ภาพอยู่ด้านในแบบนี้ครับ
แกะเอาฟิล์มออกมาไปล้างได้เลยจ้า
ในส่วนของการแกะฟิล์มไปล้างก็มีเท่านี้นะครับ
แต่พอดีผมอยากจะรู้ว่าเครื่องในของกล้องมันมีอะไรอีกที่ฝาด้านหน้า และอยากจะดูชิ้นส่วนของเลนส์ที่มันสามารถซูมได้ซักหน่อยเลยแกะต่อ
ขอเตือนนะครับสำหรับท่านที่ต้องการแค่แกะฟิล์มเฉยๆอย่าทำแบบผมนะครับเพราะโอกาสโดนไฟดูดสูงมาก เราเตือนแล้วนะ
แกะฝาด้านหน้าแล้วออกมาแบบนี้ครับ
มีเลนส์ 2 ตัวครับ โดยใช้ก้านโยกสลับเลนส์ไปมาตอนเราใช้งาน และจะสลับช่องมองภาพไปด้วย ดูแล้วมันช่างสวยงามจริงๆ
และสำหรับคำถามปิดรีวิว ที่ว่า "กล้องตัวนี้เปลี่ยนฟิล์มได้ไหม" เหมือนเดิมครับสำหรับคำตอบ "ได้ครับ"
สำหรับการเปลี่ยนฟิล์มแกะแต่ฝาหลังนะครับไม่ต้องแกะฝาหน้า สามารถใช้ฟิล์ม iso 400 หรือสูงกว่าใส่ได้เลย แต่ไม่ควรใช้ฟิล์ม iso ต่ำกว่า 400 ครับภาพจะมืดมาก
ใส่ฟิล์มให้หนามเตย ลงในเดือยของแกนสำคัญมากนะครับ
จากนั้นปิดฝาหลังครับ แล้วหาเข็มหรือแกนอะไรแข็งๆมางัดตรงนี้ขึ้นเบาๆด้วยมือซ้าย เพื่อให้ตัวเลื่อนฟิล์มสามารถจะหมุนจากขวาไปซ้ายได้
จากนั้นก็จะทุลักทุเลหน่อยนะครับ มือซ้ายยังงัดขาล็อคตัวเลื่อนฟิล์มไว้อย่างเดิม ส่วนมือขวาก็ใช้ไขควงเหลี่ยม หรือประแจหกเหลี่ยมตัวเล็กๆหมุนที่รูแกนด้านล่างกล้องจากขวาไปซ้าย หมุนไปเรื่อยๆๆๆๆๆ จนหมุนต่อไม่ได้เป็นอันเสร็จครับ และระหว่างหมุนถ้าถูกต้อง ตัวเลื่อนฟิล์มต้องหมุนจากขวาไปซ้ายระหว่างที่ทำด้วยนะครับ
แค่นี้ละครับผม เสร็จแล้วสามารถเอากล้องไปใช้งานต่อได้เลย
ส่วนตัวคิดว่าเป็นกล้องตัวนี้คุ้มครับ ใครที่สนใจลองหามาใช้ดูกันได้ และในวันนี้ขอจบการรีวิวแต่เพียงเท่านี้ครับผม ขอบคุณมากครับผม
โน้ต อะฟิล์ม
คำถามยอดฮิตตลอดกาลของคนใช้กล้องฟิล์มคือ "ไปทะเลเอาฟิล์มอะไรไปดี" ตอบกันยังไงก็ไม่มีผิดครับ เพราะมันใช้ฟิล์มอะไรก็ได้จริงๆ แต่ถ้าเราเปลี่ยนคำถามใหม่เป็น "ไปทะเลเอากล้องอะไรไปดี" วันนี้ผมได้คำตอบแล้วครับ
AGFA LEBOX OCEAN
กล้องตัวนี้คือกล้องพร้อมฟิล์ม หรือกล้องใช้แล้วทิ้งนั่นเองครับ มันเกิดมาเพื่อเป็นกล้องฟิล์มที่ใช้ถ่ายตอนไปทะเลหรือเล่นน้ำในสระโดยเฉพาะ นั่นก็เพราะว่ามัน กันน้ำ ได้นั่นเอง
ไหน ลองมาดูหน้าตาหน่อยซิ
อันนี้เป็นหน้าตาของรุ่นที่ผมนำมารีวิวนะครับ
ซึ่งปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนหน้าตาไปเป็นแบบนี้แล้วครับ
แต่ว่าเปลี่ยนแค่หน้าตานะครับ การใช้งานยังเหมือนกันทุกประการ และพอพูดถึงการใช้งานก็พาไปชม Spec กันซะหน่อยครับ
- ใช้ฟิล์ม ISO 400 ถ่ายได้ 27 ภาพ
- ไม่มีแฟลชนะจ๊ะ
- การใช้งาน ใช้ถ่ายได้ทั้งบนบกและในน้ำ
- ถ้าถ่ายบนบก ต้องอยู่ในสภาพแสงที่สว่างมากๆครับ และไม่ควรใช้ถ่ายในที่ร่มเพราะมืดแน่นอน และมีระยะชัดตั้งแต่ 1 เมตรขึ้นไป พูดง่ายๆถ้าเราถ่ายอะไรที่มือแตะถึง รับรองว่าออกมาเบลอชัวร์ เพราะฉะนั้นให้ถอยออกมาเยอะๆจากวัตถุที่เราจะถ่ายครับ
- ถ้าถ่ายใต้น้ำ ต้องอยู่ในน้ำที่ใสมากๆ และมีแสงสว่างในน้ำมากๆ มีระยะชัดสั้นๆอยู่ในช่วง 1-2 เมตรเท่านั้น ส่วนเรื่องความลึก กันน้ำได้ลึกสูงสุด 5 เมตรครับ
อ่ะมาดูตอนแกะกล่อง ภายนอกจะเห็นว่ากล้องมีเคสใสๆคลุมอยู่รอบตัวกล้องครับ ดูแล้วก็มั่นใจดีครับว่ากันน้ำได้แน่ๆ ส่วนเชือกสีเหลืองเส้นนี้มีประโยชน์ที่สุดตอนอยู่ในน้ำครับ ผมใช้มันคล้องข้อมือแล้วว่ายน้ำไปด้วยสะดวกมากครับ
ที่ด้านหลังจะมีวิธีใช้งานง่ายๆให้ดูครับ
ที่ด้านบนมีชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของกล้องครับ ปุ่มยางสีเหลืองใหญ่ๆคือปุ่มชัตเตอร์ ส่วนแป้นยางสีดำคือตัวเลื่อนฟิล์ม และจะมีช่องบอกจำนวนภาพที่เหลืออยู่ข้างซ้ายครับ อาจจะมองยากซักหน่อย
วิธีใช้งานง่ายมากครับ
1. เลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มไปทางขวา มันจะหนืดๆหน่อยนะครับและตอนหมุนเสียงจะไม่ดังเหมือนกล้องใช้แล้วทิ้งแบบปกติ ให้เราหมุนตัวเลื่อนฟิล์มจนมันหมุนต่อไม่ได้ครับ
2. เล็งที่ช่องมองภาพ
3. กดชัตเตอร์เพื่อถ่ายภาพ ซึ่งให้กดจนสุดจริงๆนะครับ ถึงจะมีเสียงแช๊ะเบาๆ
ถ้าจะถ่ายภาพต่อไป ก็เริ่มจากข้อ 1 ไปข้อ 3 เรื่อยๆครับ
ผมไม่แน่ใจนะครับว่ามันเป็นทุกตัวหรือเปล่า คือตอนเลื่อนฟิล์ม มันมีข้อสังเกตนิดนึงครับ พอเราเริ่มหมุนมันจะหนืดๆอย่างที่ผมบอกและจะมีเสียงเบาๆให้ได้ยิน และพอมันสุดแล้วให้หยุดหมุน แต่ๆๆ มันมักจะหมุนได้ต่ออีกครับ ให้ฟังเสียงตอนหมุนด้วยนะครับ ถ้าหมุนแล้วมันดังกว่าตอนแรกมากๆ ให้หยุดหมุนไปเลยครับ ไปกดชัตเตอร์ถ่ายต่อได้เลยครับ
โอเคพร้อมละครับ ออกทะเลกันเถอะ
เฮ้ยๆๆ ใช้ได้อยู่นะครับ ภาพไม่ได้คมอะไรมาก แต่สีสันโอเคเลย ไปๆลงน้ำต่อเลยละกัน
จะดำน้ำละน้าาาา
ต้องแจ้งก่อนนะครับว่าน้ำทะเลในวันนั้นใสดีมากครับ แต่แสงสว่างในน้ำไม่ค่อยดีนัก บวกกับจุดที่ผมลงดำผิวน้ำ เป็นหาดที่คลื่นลมค่อนข้างแรงครับ ทำให้ทรายในน้ำฟุ้งๆอยู่บ้าง ที่ความลึกไม่เกิน 2 เมตร
มีใครมองเห็นปลาบ้างไหม
ลองลงน้ำในสระก็จะใสขึ้นบ้างครับ
ก็ได้ภาพมาประมาณนี้ครับ ทีนี้ลองมาดูว่าถ้าเราฝืนธรรมชาติของกล้อง คือเอาไปถ่ายในที่แสงน้อยๆมันจะเป็นยังไงบ้าง
มืดตึ้บตามคาดครับ อย่าลองกันเด็ดขาดครับเพราะว่าอย่าลืมว่ากล้องตัวนี้ไม่มีแฟลชนะครับผม
เท่าที่ได้ทดลองใช้มา 1 ตัวถ้วนนะครับ สรุปได้ดังนี้
- ภาพที่ได้นั้นคุณภาพก็คล้ายๆกับกล้องใช้แล้วทิ้งทั่วๆไปครับ คือไม่ได้มีคุณภาพดีมากเมื่อไปเทียบกับกล้องฟิล์ม SLR หรือ กล้องคอมแพ็ค แต่ภาพที่ได้ให้สีสันสวยดีนะครับ
- กันน้ำได้จริงๆครับไม่ต้องกลัวเรื่องรั่ว แถมลอยน้ำได้ครับไม่จม เรียกว่าลอยกันเป็นรองเท้าแตะเลยทีเดียว
- ถ่ายบนบกแสงดีๆ ได้ภาพสวยๆสบายๆ แต่ถ้าถ่ายใต้น้ำ ผมว่ามันจะต้องเป็นวันที่น้ำใสๆๆๆๆจริงๆ มีแดดส่องทะลุลงมาจนมันสว่างจริงๆครับภาพคงจะออกมาดีกว่านี้
- ห้ามถ่ายที่มืดเด็ดขาด
- ผมว่ามันเหมาะมากถ้าจะประยุกต์ไปใช้ถ่ายตอนงานสงกรานต์ สาดมาเลยกล้องเราไม่กลัวเปียกกกกก ๕๕๕๕
โอเคครับมาถึงภาคของการงัดแงะกันตามธรรมเนียม เมื่อเราถ่ายหมดแล้วก็ต้องมาเอาฟิล์มออกจากกล้องกัน ข้อสังเกตนะครับถ้าถ่ายหมดแล้วตัวเลื่อนฟิล์มจะเลื่อนได้แบบไม่มีที่สิ้นสุดเลยทีเดียว
ในส่วนของการงัดแงะนะครับผมขอแจ้งก่อนว่า คราวนี้ไม่ต้องระวังเรื่องไฟดูด เพราะว่ามันไม่มีวงจรไฟฟ้าอะไรทั้งนั้น คืออยากจับตรงไหนจับได้เลยไม่ต้องกลัว
แต่สิ่งที่ต้องกลัวคือขั้นตอนในการแงะครับ มันมีหลายจุดและบางจุดบอบบางมาก ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าการงัดครั้งนี้ผมทำพลาดจนได้ ไปทำชิ้นส่วนสำคัญหักเข้า เซ็งๆๆๆ
อ่ะมาเริ่มแกะกล้องเพื่อเอาฟิล์มออกไปล้างกันดีกว่าครับ
เริ่มจากการถอดสายคล้องออกก่อน
จากนั้นเราจะมาแกะเคสใสออก โดยให้ใช้ไขควงแบนขนาดเล็ก งัดสลักแบบในภาพนี้นะครับ มีทั้งหมด 6 จุดด้วยกัน
แต่มันจะมีตัวนึงครับที่งัดออกยากหน่อยเพราะมันติดแป้นของตัวเลื่อนฟิล์ม ให้ใช้ไขควงแทงเข้าไปตรงร่องนี้แล้วค่อยๆงัดครับ
หลังจากพยายามอยู่ซักพักฝาหลังก็ออกมาแล้ว
ต่อไปเราจะต้องเอาตัวกล้องอกมาจากเคสครับ ให้ค่อยๆยกด้านซ้ายของกล้องขึ้นมาก่อนแล้วตะแคงกล้องออกมาทางด้านตรงข้ามตัวเลื่อนฟิล์มครับ ตรงนี้จะสังเกตว่าแป้นตัวเลื่อนฟิล์มจะยังติดอยู่กับฝาเคสด้านหน้านะครับ
หลังจากตรงนี้ให้ค่อยๆดันแป้นตัวเลื่อนฟิล์มออกจากเคสครับ โดยให้ดันสลักสีดำสองตัวที่ล็อคเคสเอาไว้ออกครับ โดยดันจากด้านในเคสนะครับ และข้อสำคัญ อย่าพยายามดึงแป้นตัวเลื่อนฟิล์มสีดำนี้ออกทางด้านบน โดยไม่ปลดสลักสีดำสองตัวนี้ออกก่อนนะครับ
นั่นแหละครับคือจุดที่ผมพลาดจุดแรก ก็เลยไม่มีรูปให้ดูเพราะผมเล่นดึงแป้นออกทางด้านบนดื้อๆเลย ผลคือ สลักหักไป 1 ตัวครับ
เศร้าเลยต่อกลับไม่ได้ด้วย
อีกอย่างนะครับมันจะมีแกนสีดำเล็กๆอันนึงออกมาด้วย ตัวนี้คือแกนปุ่มชัตเตอร์ครับ อย่าทำหายนะครับ ตอนใส่กลับให้เอาแกนทางด้านยาวเข้าหาตัวแป้นตัวเลื่อนฟิล์มครับ
หลังจากเรียบร้อยแล้วเราก็จะได้กล้องสีดำโล้นๆมา 1 ตัว แถมเล็กเอามากๆจ้า
ก็เริ่มมาเอาฟิล์มออกจากกล้องต่อเลยครับ โดยให้ใช้ไขควงแบนตัวเล็ก เริ่มงัดที่ด้านข้างของกล้อง ทางฝั่งแป้นตัวเลื่อนฟิล์มครับ แล้วก็ค่อยๆไล่เปิดโดยรอบไปเรื่อยๆ จนมาเจอสลักอีกสองตัวที่ด้านล่างของกล้องครับ เบาๆมือนะครับ เพราะผมพลาดจุดที่สองตรงนี้ครับ งัดซะสลักล็อคทั้งสองตัวขาดเลย แต่ไม่หนักมากครับยังพอมีวิธีแก้ไขได้ เอาเป็นว่าพอแกะฝาหลังได้แล้วเราก็จะเจอฟิล์มอยู่ด้านในครับ ให้เอาไปล้างได้เลย
เรียบร้อยครับสำหรับการแกะกล้องเอาฟิล์มออกไปล้าง แต่ยังไม่หมดนะครับยังมีต่ออีกหน่อยสำหรับคนที่ซนๆ โดยคำถามต่อไปที่เกิดขึ้นในหัวว่า "แล้วมันโหลดฟิล์มเข้าไปใหม่ได้ไหม" ขอตอบว่า "ได้ครับ"
มาลุยเลย
อุปสรรคสำหรับการโหลดฟิล์มเข้าไปใหม่มีอยู่อย่างเดียวครับนั่นคือ เราต้องทำให้แป้นตัวเลื่อนฟิล์มหมุนกลับด้านให้ได้ คือโดยปกติเราจะใช้นิ้วโป้งขวาเลื่อนแป้นฟิล์มไปทางขวาเพื่อเลื่อนฟิล์มในการถ่ายรูปใช่ไหมครับ คราวนี้ถ้าเราจะโหลดฟิล์มแป้นตัวเลื่อนต้องหมุนไปทางด้านซ้ายครับ ซึ่งมันจะติดเจ้าขายาวๆตัวนี้ล็อคอยู่
วิธีคือเราต้องหาเข็มหรือลวดหนีบกระดาษ หรืออะไรซักอย่างมางัดขาตัวนี้ขึ้นครับ
ซึ่งตอนที่เรางัดขึ้นจะทำให้ตัวเลื่อนฟิล์มหมุนไปทางซ้ายได้แล้ว แต่ขั้นตอนการงัดขาล็อคตัวนี้จะต้องทำหลังจากที่ใส่ฟิล์มเข้าไปในกล้องแล้วปิดฝาหลังแล้วนะครับ โดยให้แหย่เข็มผ่านทางรูเล็กๆด้านบนกล้องครับ
ก่อนโหลดฟิล์มให้เราหมุนแป้นนับจำนวนฟิล์มให้กลับมาที่จุดเริ่มต้นครับ
จากนั้นก็เริ่มโหลดฟิล์ม โดยฟิล์มที่จะนำมาใช้ควรเป็นฟิล์ม ISO เดียวกันกับม้วนที่กล้องให้มานะครับ คือ ISO 400 หรือสูงกว่าก็ได้ครับ เป็น 800 เลยก็ได้ แต่อย่าใช้ ISO ต่ำกว่า 400 นะครับ ภาพออกมามืดแน่นอน ในที่นี้ผมลองโหลดโดยใช้ฟิล์ม Kodak Ultramax 400 ครับ
ให้ดึงหัวฟิล์มมาเกี่ยวกับแกนทางด้านซ้ายมือครับ ดูดีๆนะครับให้หนามเตยของฟิล์มมันลงในเดือยด้วย
จากนั้นก็ค่อยๆปิดฝาหลังเข้าที่เดิมครับ โดยในระหว่างที่ปิดให้เราใช้ไขควงแฉกตัวเล็กขนาดพอดีกับรูด้านล่างของแกนทางด้านซ้าย จิ้มคาเอาไว้ด้วยนะครับ
พอปิดฝาหลังแล้ว ผมเองเจอปัญหาว่าที่ด้านล่างของกล้องในส่วนที่สลักฝาปิดมันหักไปสองอัน ทำให้แนวเส้นปะสีแดงมันปิดไม่สนิทผมเลยแก้ปัญหาด้วยการเอาผ้าเทปมันแปะแก้ขัดไว้แทนครับ
เมื่อเรียบร้อยแล้ววิธีมันจะทุลักทุเลหน่อยนะครับ นั้นคือ
1.เราต้องถือกล้องด้วยมือซ้าย
2.ใช้เข็มแทงเข้าไปในรูปด้านบนแล้วกดเข็มลงเพื่อดันขาล็อกตัวเลื่อนฟิล์มที่ผมเคยบอกไว้ ถ้าถูกต้องตัวเลื่อนฟิล์มจะหมุนมาทางซ้ายได้ครับ ก็ให้ดันเข็มไว้แบบนั้นนะครับยากหน่อย
3.ที่มือขวาให้เราหมุนไขควงแฉกแบบทวนเข็มนาฬิกาครับ หมุนไปเรื่อยๆ ระหว่างหมุนถ้าถูกต้องแป้นตัวเลื่อนฟิล์มจะต้องหมุนตามไปด้วยนะครับ
4.หมุนไขควงไปจนเริ่มตึง ตึงชนิดที่เรียกว่าไปต่อไม่ได้แน่ๆ ให้หยุดครับ
เสร็จแล้วครับเท่ากับเราโหลดฟิล์มพร้อมใช้งานได้อีกรอบแล้ว
แต่เสียดายนะครับ ที่ผมดันไปรีบร้อนจนสลักของแป้นตัวเลื่อนฟิล์มของเคสหักไปขานึง ซึ่งทดลองแล้วถ้าตัวนี้หักจะไม่สามารถทำให้กล้องกันน้ำได้ครับ อดเลย เสียดายเคสจริงๆ แต่ไม่เป็นไรครับยังได้กล้องแบบไม่กันน้ำตามปกติไปถ่ายในสถานการณ์ทั่วไปต่อครับ
โอเคครับถ้าได้ภาพจากการโหลดฟิล์มรอบสองมาแล้วจะมาอัปเดตในบทความนี้นะครับ ยังไงวันนี้ขอพอแค่นี้ก่อนครับ ฝากไปเล่นกันนะครับสำหรับเจ้า Agfa Lebox Ocean ตัวนี้ ขอบคุณมากครับผม
โน้ต อะฟิล์ม
ช่วงนี้ผมมีโอกาสได้ทดลองใช้งาน กล้องใช้แล้วทิ้ง ค่อนข้างบ่อยเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะในตอนที่มีกล้องใหม่ๆเข้ามาที่ร้าน ใช้จนเริ่มรู้ว่าจริงๆแล้ว"กล้องใช้แล้วทิ้ง"มันสามารถนำกลับมาใส่ฟิล์มใหม่ได้เรื่อยๆ เลยทำให้รู้สึกแปลกๆที่จะพูดว่ามันคือกล้องที่ใช้แล้วก็ทิ้งไปเถอะ แล้วยิ่งตอนที่ผมได้มาทดลองใช้งานเจ้ากล้องของค่าย Lomography ตัวนี้ ยิ่งทำให้รู้สึกว่า ถ้าเราเปลี่ยนจากคำว่า Single use camera เป็น Simple use camera แทน ก็ดูจะดีและตรงกว่าครับ ถ้าภาษาไทยก็เรียกอะไรดีล่ะ เรียก "กล้องพร้อมฟิล์ม" ละกันครับ
LOMOGRAPHY SIMPLE USE COLOR NEGATIVE 400
ชื่อยาวมาก ขอเรียกสั้นๆว่า Lomo Simple use ละกัน มาครับขอพาไปดู Spec ก่อนเลย
- กล้องบรรจุฟิล์ม Lomo iso 400 แบบ 36 ภาพมาให้
- ระยะโฟกัส เริ่มที่ 1 เมตรขึ้นไป
- มีแฟลชในตัว โดยมีระยะทำการ ประมาณ 1-2 เมตร
- มีแผ่นพลาสติก เพื่อผสมแสงให้กับการเปิดแฟลช
- ระยะเลนส์ 31 mm
- f. stop = f.9
- Speed shutter = 1/120S
- เมื่อถ่ายเสร็จแล้วสามารถเปลี่ยนฟิล์มได้
มาดูหน้าตากันครับ มาพร้อมกล่องสีสันสดใสเลยทีเดียว
กล้องห่อมาในซองพลาสติกใสๆแบบนี้ครับ
มีคู่มือมาให้ด้วย
ที่ด้านหน้ากล้อง ก็จะมีช่องมองภาพ แฟลช+แผ่นพลาสติกเปลี่ยนสีแฟลช และปุ่มเปิดแฟลช
ที่ด้านหลังมีคำอธิบายการใช้งานกล้องง่ายๆ และคำอธิบายเพิ่มเติมเรื่องการใช้แผ่นพลาสติกมาผสมสีให้กับการเปิดแฟลช มีช่องมองภาพ มีสวิตช์กรอฟิล์ม มีตัวเลื่อนฟิล์ม เรียงตามลำดับ
ที่ด้านบนมี ช่องแสดงสถานะแฟลช ตัวเลขบอกจำนวนฟิล์มที่เหลือ, ปุ่มชัตเตอร์
ที่ด้านล่างมีตัวกรอฟิล์มอยู่ทางซ้าย มีช่องใส่ถ่านสำหรับเป็นพลังงานแฟลช (อยู่ใต้สติกเกอร์สีแดง)
ในส่วนของช่องมองภาพที่ด้านหลังให้มุมมองประมาณนี้ครับ
ในส่วนของการใช้งานก็ไม่ยากครับ
1.เลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มที่ด้านหลังกล้องหมุนไปทางขวาจนสุด
2.เล็ง
3.กดชัตเตอร์
ง่ายๆแค่นั้นเลยครับ
มาครับมาดูรูปจากฟิล์มม้วนแรกกันเลย เป็นผลงานของฟิล์มติดกล้องมาในตอนแรกคือ ฟิล์ม Lomo 400 ครับ
มาดูตอนแสงสว่างดีๆกันก่อนครับ
ได้ออกมาประมาณนี้ครับ สังเกตุว่าเรื่องสีสัน ก็สีสดพอสมควรนะครับ เรื่องลักษณะภาพ จะคมชัดที่สุดตรงกลางภาพ และที่ขอบภาพไม่เบลอมากนัก และก็เหมือนกับกล้องพร้อมฟิล์มทั่วๆไปตรงที่ เหมาะกับการถ่ายในที่แสงสว่างเยอะๆครับ เพราะกล้องประเภทนี้ฟิกค่า f.stop และ Speed shutter มาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ
มาลองตอนช่วงแสงเริ่มน้อยหรือในร่มบ้างครับ
ภาพที่ออกมาแน่นอนครับว่าแสงน้อยภาพก็จะมืดลง อันนี้ไม่ได้เปิดแฟลชนะครับ เพราะดูแล้วยังพอมีแสงสว่างอยู่บ้าง เอาจริงๆก็พอไหวครับยังได้ภาพอยู่
ทีนี้ลองแบบที่มืดๆเลยแบบไม่เปิดแฟลชครับ
เอาละสิเห็นเลยว่าเริ่มอันเดอร์ไปเยอะมากแล้ว
เอ้าลองดูอีกนิด ที่มืดเลยแบบเปิดแฟลชนะครับ
จะเห็นว่าภาพที่วัตถุอยู่ไกลเกิน 2 เมตรแฟลชก็จะทำงานไม่ถึงครับ เข้าสู่สภาวะมืดตึ้บเต็มรูปแบบ
แล้วถ้าเราเปิดแฟลชในระยะใกล้ล่ะจะเป็นไง
ภาพนี้ผมเปิดแฟลชและเพิ่มแผ่นพลาสติกวางลงไปที่หน้าแฟลชแบบนี้ครับ
ในส่วนของการใช้งานแฟลชนะครับ ผมทดลองแล้วสำหรับปุ่มเปิดแฟลชของเจ้ากล้องตัวนี้ การใช้งานปุ่มที่ด้านหน้านั้นเพื่อเป็นการ "เปิดแฟลช" เท่านั้นนะครับ มันปิดไม่ได้วิธีคือ
1. ถ้าเราต้องการเปิดแฟลช ให้"กดค้าง"ที่ปุ่มเปิดแฟลชหน้ากล้อง
2. ให้สังเกตที่ด้านบนกล้องถ้าแฟลชพร้อมใช้แล้วจะมีไฟสีแดงๆขึ้นในช่องแสดงสถานะแฟลช
3. ปล่อยปุ่มเปิดแฟลช แล้วกดชัตเตอร์ถ่ายภาพได้เลย
คราวนี้ถ้าเราจะถ่ายรูปถัดไปโดยจะเปิดแฟลชอีก ก็เริ่มกระบวนการข้อ 1-3 อีกรอบครับ เพราะแฟลชจะไม่ยิงต่อเนื่อง
ทีนี้มาดูเรื่องต่อไปครับ สมมุติว่าเราถ่ายรูปจนครบแล้ว และต้องการส่งฟิล์มไปล้างที่แล็บ ก็ต้องมาเอาฟิล์มออกจากตัวกล้องก่อน โดยขั้นแรกต้องให้ฟิล์มถ่ายหมดก่อนจริงๆนะครับค่อยเปิดกล้องเอาฟิล์มออกมา โดยสังเกตได้จากถ้าเราเลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มที่ด้านหลังกล้องไปทางขวา แล้วมันหมุนได้ไม่หยุดซักที นั่นแหละฟิล์มหมดแล้ว เปิดกล้องได้เลย
การเอาฟิล์มออกมาให้เริ่มจากการพลิกดูที่ด้านล่างกล้อง บริเวณช่องใส่ถ่านแฟลชจะมีสติ้กเกอร์ปิดทับไว้ ให้กรีดให้สติกเกอร์ตรงนี้ขาดออกจากกันครับ
ต่อไปให้ดูที่ด้านขวาของกล้องครับจะมีสวิตช์เปิดฝาหลังอยู่ ให้เลื่อนสวิตช์ตรงนี้ลงครับ
แต่สัญญาก่อนนะครับว่าจะไม่เลื่อนลงถ้ายังถ่ายฟิล์มไม่หมด!!!
จากนั้นก็แง้มฝาหลังเปิดออกมาครับ
ก็จะเจอฟิล์ม Lomo 400 อยู่ในช่องขวามือแบบนี้ครับ สามารถนำส่งแล็บล้างรูปได้เลยจ้า ไม่ต้องแงะให้ยากเหมือนกล้องพร้อมฟิล์มทั่วๆไป
จริงๆแล้วการรีวิวกล้อง Lomo ครั้งนี้มันก็ต้องจบลงจรงนี้แหละครับ แต่มันก็จะรู้สึกไม่สมบูรณ์ถ้าจะไม่แสดวิธีการโหลดฟิล์มใหม่ลงไปด้วย ก็บอกแล้วว่ากล้องใช้แล้ว ยังไม่ต้องทิ้ง มาดูกันเลยครับ
เริ่มจากเปิดฝาหลังมาเรียบร้อยให้เราเลื่อนแผ่นตัวเลขจำนวนฟิล์มที่เหลือให้มันตรงกับตัว E หรือหลังเลข 36 นิดหน่อย
จากนั้นวางฟิล์มที่จะถ่ายต่อลงไปในช่องด้านขวาของกล้อง เรื่องฟิล์มนี่
ของเดิมเป็นฟิล์ม iso 400 มา เพราะฉะนั้นฟิล์มที่จะใส่ไปใหม่ ควรจะเป็นฟิล์ม iso เดียวกันคือ 400 หรือสูงกว่าก็ได้เช่น iso 800 แต่ไม่ควรใส่ฟิล์มที่ต่ำกว่า 400 นะครับ ไม่งั้นภาพจะออกมามืดลงมาก ยกเว้น ใส่ฟิล์ม 200 แล้วไปให้แล็บล้างรูปพุชฟิล์ม (แต่ผมว่าทางที่ดีใส่สูงๆไว้ก่อนดีกว่าครับ) และภาพที่จะแสดงต่อไปนี้ผมใส่ฟิล์ม iso 200 ลงไปเป็นตัวอย่างเฉยๆนะครับไม่ได้ใช้งานจริงๆ (พอดีตอนถ่ายรูปรีวิว ฟิล์ม 400 หมดพอดี 555)
จากนั้นให้เราเลื่อนสวิตช์กรอฟิล์มไปทางด้านซ้ายค้างไว้
จากนั้นใช้มืออีกข้างดึงหัวฟิล์มมาพาดไว้ที่ช่องด้านซ้ายมือครับ
ต่อไปให้มองหาตัวยึดช่องหนามเตยของฟิล์มแล้วใส่ฟิล์มลงไปให้ตัวยึดเกี่ยวไว้แบบนี้
จากนั้นก็ปิดฝาหลังให้แน่นเลยครับ ต่อไปให้พลิกดูที่ด้านล่างจะเห็นตัวกรอฟิล์ม ให้เราง้างมันออกมาเตรียมไว้
ที่ด้านหลังกล้องให้เล็งไว้ก่อนเลยว่าเดี๋ยวจะมาเลื่อนสวิตช์ตัวนี้ไปทางซ้ายครับ
จากนั้นเมื่อเราพร้อมแล้วก็ลงมือเลื่อนสวิตช์กรอฟิล์มไปทางซ้าย ส่วนอีกมือก็หมุนตัวกรอฟิล์มทวนเข็มนาฬิกาครับ
ก็หมุนไปครับหมุนไปเรื่อยๆจนมันหมุนต่อไม่ได้แล้วจริงๆแสดงว่าสุดแล้วให้หยุดมือเดี๋ยวก้านกรอฟิล์มหัก เท่ากับว่าตอนนี้ ฟิล์มจากกลักใหม่ถูกม้วนมาอยู่ที่แกนเปล่าๆทางด้านซ้ายมือจนเต็มแล้วนะครับ เพราะฉะนั้นการถ่ายภาพที่เราจะต้องเลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มก่อนเพื่อถ่าย เท่ากับเป็นการกรอฟิล์มเข้ากลักไปในตัวครับ จำให้มั่นเลยนะครับ เสร็จขั้นตอนนี้แล้วอย่าเพิ่งเปิดฝาหลังก่อนจะถ่ายเสร็จ ไม่งั้นฟิล์มทั้งม้วนจะเสียแน่ๆเลยจ้า
ทีนี้มาถึงการใช้งานจริงในม้วนที่สอง ผมวนหาฟิล์ม iso 400 ในบ้านไม่เจอเลยซักม้วน มีแต่ 100 กับ 200 อืมซึ่งจริงๆก็ยังพอมีฟิล์ม 800 อยู่ตัวนึงนะ เอาไงดี iso ไม่ตรงกับของเดิม แต่ไม่เป็นไรนี่น่ารู้อยู่แล้วว่า iso สูงกว่าต้องดีกว่าสำหรับกล้องแบบนี้ งั้นจัด Fuji Superia Venus 800 ในมือเลยดีกว่า ลุย!!!
ใส่เสร็จปุ้บออกไปถ่ายเลยครับ ได้ผลมาประมาณนี้ รูปจะเยอะๆหน่อยนะครับ ลุยถ่ายมาทุกสถานการณ์ แดดเปรี้ยง ในร่ม มืดตึ้บเอาให้ครบ
สรุปการใช้งานกล้อง Lomography Simple use Color Negative 400 แบบบ้านๆนะครับ เท่าที่ลองใช้ไปแล้ว 2 ม้วน ส่วนตัวคิดว่า
- ในแง่สีสัน ผมว่ากล้องถ่ายทอดสีสันของฟิล์มออกมาได้ดีครับ ถ้าฟิล์มดีและใหม่ สีก็ออกมาสดพอสมควรเลย
- ในแง่คุณภาพของภาพ ต้องบอกว่ามันดีในระดับของกล้องเล็กๆแบบนี้ครับ เพราะฉะนั้นกรุณาอย่านำไปเทียบกับกล้องรุ่นใหญ่ๆที่เปลี่ยนเลนส์ได้ครับ ภาพที่ออกมาชัดสุดตรงกลางและมีอาการขอบเบลอๆบ้างแต่ไม่เยอะมากไป มีวิกเนตขอบดำๆให้เห็นด้วยสวยดีครับ
- ในเรื่องของการใช้งานกล้อง ง่ายมากๆครับ คือมันเป็นกล้องที่ยกขึ้นถ่ายเลยแบบไม่ต้องคิดมาก แค่เล็งแล้วถ่ายสบายบรื้อ
- ในเรื่องลูกเล่นของสีแฟลชผมว่าอันนี้เป็นเอกลักษณ์ที่กล้องพร้อมฟิล์มตัวอื่นไม่มี ซึ่งโดยปกติ เราจะเห็นว่ากล้องประเภทนี้มันเหมาะกับสภาพแสงดีๆสว่างๆ พอเราเอาไปถ่ายที่มืด เลยจำเป็นต้องเปิดแฟลช พอเปิดแฟลชภาพก็จะออกมาแข็งๆเพราะแสงแฟลช แต่ตัวนี้เพิ่มแผ่นพลาสติกสีเข้าไปสามสี ทำให้เรามีลูกเล่นเพิ่มเติมในการใช้แฟลช แต่โดยส่วนตัวนะครับ ผมมองว่าเจ้าแผ่นพลาสติกสีๆนี่มันกางออกค่อนข้างยากครับ และหลายๆครั้งดูเกะกะในเวลาใช้งานหรือเก็บเข้ากระเป๋าอยู่บ้างครับ แต่ก็นะ มีดีกว่าไม่มี
- เรื่องความคุ้มค่ากับราคา 690 บาท ตอนแรกผมมองว่านี่มันเป็นราคาของกล้องพร้อมฟิล์มที่แพงมาก แต่เฮ้ยนี่มันเปลี่ยนฟิล์มได้ด้วย พอได้ลองใช้งานม้วนสองก็รู้เลยว่า เออไม่แพงละคุ้มอีกต่างหาก
- เรื่องการเปลี่ยนฟิล์ม ในบรรดากล้องพร้อมฟิล์มที่เราใช้ๆกัน ผมคิดว่าเจ้าตัวนี้เปลี่ยนฟิล์มได้ง่ายและสะดวกที่สุดแล้วครับ ไม่เชื่อลองดูที่ลิงก์นี้ครับผม
กล้องใช้แล้วทิ้ง....หรือจริงๆจะเก็บไว้ก่อน
โอเคครับ ก็ว่ากันมาพอสมควรแล้ว สรุปว่ากล้องตัวนี้ดีครับน่าใช้มากในวันง่ายๆที่ไม่อยากคิดมากอะไร ผมขอจบการรีวิวลงแต่เพียงเท่านี้นะครับ ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันครับผม
โน้ต อะฟิล์ม
สบายดีครับ และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้เห็นฟิล์มใหม่ๆที่ไม่เคยลอง แต่วันนี้แตกต่างออกไป วันนี้ผมได้มีโอกาสพบเจอกล้องใช้แล้วทิ้งตัวใหม่จากดินแดนฮ่องกง เอาตรงๆนะครับ เหมือนอย่างเคยคือพอได้เห็นแพ็คเกจแล้ว.....กระเป๋าสั่นทันที ก็สีมันพาสเทลเอามากๆ ชอบเลยจริงๆ
I'M FINE SINGLE USE CAMERA
กล้องตัวนี้เป็นกล้องสัญชาติฮ่องกง ที่ทำออกมาได้แหวกแนวมาก คือเท่าที่เคยใช้ๆมา คนอื่นๆค่ายอื่นๆจะไปในทางแนวสดใส สีสดๆ หรือไม่ก็ทำออกมาดูเป็นทางการหน่อย แต่พอมาเจอเจ้านี้ โอว ถึงกับชะงัก
อ่ะไม่พูดมากละ มาแกะกล่องกันเลยดีกว่า
ด้านหน้า สีสไตล์พาสเทล สวยๆ
แกะกล่องออกมาเจอห่อพลาสติกใสๆ
ด้านหน้า ปุ่มหลักๆคือปุ่มเปิดแฟลช การใช้งานคือต้องกดค้างก่อนประมาณ 8 วิ แฟลชถึงจะทำงาน โดยส่วนตัวแล้วต้องขอบอกว่าแฟลชแบบนี้ไม่ค่อยดีครับ เพราะการใช้งานจริงเวลาเราเปิดแฟลชถ่ายเราก็จะได้ภาพที่ต้องการ แต่พอรูปถัดไปหากเราต้องการจะปิดแฟลช มันจะไม่ปิดให้ทันทีครับต้องปล่อยทิ้งไว้ซักพักให้แฟลชมันหยุดการทำงานเอง ผมอยากให้กล้องประเภทนี้ทำตัวเปิด ปิด แฟลชแบบทันทีมาเลยดีกว่า คล้ายๆใน Fuji Simple Ace หรือ Agfa Lebox แต่ก็ไม่เป็นไรครับ แบบนี้ก็ยังพอไหวอยู่
ด้านหลัง จะมีช่องมองภาพ ตัวเลื่อนฟิล์ม และตัวหนังสืออธิบายการใช้งานคร่าวๆครับ
ที่ด้านบน ซ้ายสุด จะมีไฟบอกสถานะแฟลช โดยจะใช้งานแฟลชต้องกดปุ่มด้านหน้าค้างไว้จนไฟดวงนี้ติดครับถึงจะใช้งานแฟลชได้ ถัดมาเป็นช่องบอกจำนวนภาพที่เหลือที่สามารถถ่ายได้ ถัดไปเป็นชัตเตอร์ ปุ่มทำงานหลักของเราในวันนี้
ขนาดตัวกล้องก็เล็กๆน่ารักครับ พกใส่กระเป๋ากางเกงสบายๆ
ในส่วนของช่องมองภาพจะเห็นประมาณนี้ครับ ภาพที่ออกมาจริงจะกว้างกว่าที่เห็น ให้เผื่อๆตอนจัดองค์ประกอบด้วยครับ
อ่ะมาดูในส่วนของ Spec กล้องกันหน่อย
- กล้องมีเลนส์ประมาณ 35 mm.
- f. stop = f.10
- speed shutter ประมาณ 1/100 s
- ในส่วนของฟิล์มผู้ผลิตเขียนไว้ใต้กล่องว่า LOADED WITH FUJIFILM C200 COLOR NEGATIVE FILM หรือพูดง่ายๆคือกล้องตัวนี้ใช้ฟิล์ม Fuji C200 นั่นเองครับ
- iso 200 จำนวน 36 ภาพ
- ระยะโฟกัสเริ่มประมาณ 1 เมตร
- ระยะทำงานของแฟลช ไกลประมาณ 3 เมตร
โอเคครับ Spec โดยรวมๆก็เหมือนๆยี่ห้ออื่นๆ แต่ที่แตกต่างออกไปคือ อันนี้ใช้ฟิล์ม iso 200 ยังไม่เคยเห็นเลยครับ ส่วนใหญ่จะเป็น 400 , 800, 1600
ไปๆงั้นเราลองไปดูภาพกันครับ ว่ามันจะเป็นยังไงกันบ้างกับเจ้ากล้องตัวนี้ ภาพจะสวยเหมือนแพ็คเกจหรือเปล่า
เกริ่นก่อนนะครับ ภาพชุดนี้ตามฟอร์มครับ ได้กล้องมารีวิวในเดือนธันวาหน้าหนาว แต่เผอิญเป็นช่วงประหลาดมีฝนตกฟ้าครึ้มกันซะอย่างงั้น เฮ้อ
สังเกตว่าภาพจะชัดที่สุดตรงกลางภาพครับ ส่วนบริเวณขอบๆภาพจะออกเบลอๆหน่อย
ใช้ถ่ายช่วงกลางวันสบายๆครับ ยังไม่ต้องถึงขั้นเปิดแฟลช ปกติกล้องประเภทนี้ก็เน้นไปที่การเก็บภาพในช่วงระหว่างวันที่มีแสงสว่างค่อนข้างเยอะ หรือภายนอกอาคารนั่นเอง
คราวนี้ไปดูช่วงเย็นกันบ้างครับ คือเย็นเลย ห้าโมงกว่า พระอาทิตย์กำลังจะตกเต็มแก่แล้ว ปกติผมจะเตือนทุกท่านที่เพิ่งมาใช้กล้องประเภทนี้คือ ถ้าเข้าที่ร่มหรือช่วงเวลาเย็นๆแสงน้อยๆ เปิดแฟลชเถอะครับ เพื่อไม่ให้เป็นภาระกับการมาเยือนของความ "มืดตึ้บ"
แต่คราวนี้ขอลองไม่เปิดแฟลชดู ออกมาแบบนี้ครับ
อ่ะลองยิงแฟลชดูหน่อย........โอยไกลไป แฟลชไปไม่ถึง
๕๕๕ อย่างที่บอกครับ มื้ดดดดมืด โอเคลองในวันฟ้าครึ้มๆตอนบ่ายๆบ้าง
ก็มีภาพประมาณนี้ครับผม เป็นยังไงกันบ้าง ส่วนตัวผมเองผมว่าผ่านนะครับ ขอสรุปโดยรวมๆแบบบ้านๆดังนี้ครับ
- ภาพจะคมที่กลางๆภาพ ริมๆขอบๆเบลอแน่นอน และมีขอบวิกเนตดำๆในหลายๆภาพ (อันนี้ชอบๆ) เรื่องคุณภาพของภาพนั้น ก็ยอมรับครับว่ามันคงจะไปสู้กล้องดีๆที่เราใช้กันทั่วไปไม่ได้แน่ๆ แต่ได้ภาพแบบนี้มาผมเองพอใจมากแล้วครับ
- สีสันตามสไตล์ฟูจิครับ มีอมเขียวๆหน่อย ตอนแดดดีๆ ถ่ายตามแสงในจังหวะเหมาะสม หรือวัตถุมีสีสันสดๆ กล้องก็ถ่ายทอดสีออกมาได้ดีนะครับ
- แปลกใจที่หลายๆภาพควรจะมืดมาก แต่กลับออกมาดีกว่าที่คิด
- แฟลชนี่สรุปไม่ได้ชัดๆครับ เพราะว่าลองน้อยมากๆ เอาเป็นว่าอย่าพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ที่มืดๆจะดีกว่า แต่ถ้าจำเป็นผมคิดว่า น่าจะได้ภาพแต่อาจจะไม่สวยนัก หรือถ้าจะเปิดแฟลชถ่ายในช่วงกลางคืนให้ลองหาฉากหลังที่มีแสงสว่างอยู่ซักหน่อย ภาพจะได้ไม่แบนเกินไปครับ
- เรื่องของราคาขายอยู่ที่ประมาณ 540 บาท ก็ถือว่าแพงอยู่สำหรับกล้องประเภทนี้ แต่ถ้าดูดีๆ ตัวนี้ได้ 36 ภาพ ( ซึ่งตอนถ่ายจริงผมได้ 38) กล้องตัวอื่นๆจะนิยมถ่ายกันได้ที่ 27 ภาพ ในราคาประมาณ 300 กว่าบาท อันนี้ต้องลองชั่งน้ำหนักดูนะครับ
ทีนี้มันมีจุดนึงซึ่งผมไม่เคยลองทำมาก่อน ก็คือการหาวิธีให้กล้องที่เค้าเรียก "กล้องใช้แล้วทิ้ง" หรือ Single Use Camera กลับมาโหลดฟิล์มได้ใหม่ เท่าที่ตามๆดูอยู่ในบ้านเราที่สามารถโหลดฟิล์มได้ใหม่แน่ๆ คือ ของค่าย Lomography ที่กล้องมีตัวกรอฟิล์มและฝาหลังเปิดเอาฟิล์มเข้าออกได้เหมือนกล้องปกติ
และด้วยความคิดของกล้อง LOMO นี่แหละผมเลยอยากลองหาวิธีรีโหลดฟิล์มม้วนใหม่ใส่เข้าไปในเจ้า I'M FINE ตัวนี้ และก็พอจะหาทางได้บ้างแล้วครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมยังไม่แน่ใจนะครับว่าฟิล์มที่โหลดเข้าไปใหม่จะทำให้มีผลต่างอะไรกับฟิล์มที่โหลดมาจากโรงงานม้วนแรกหรือเปล่า เอาเป็นว่าขณะที่เขียนอยู่นี้ผมได้ทดลองแงะกล้องออกมารีโหลดฟิล์มเข้าไปใหม่สำเร็จแล้ว แต่ยังถ่ายไม่หมดครับ ถ้าเรียบร้อยแล้วผมจะมาแชร์วิธีการอีกทีครับ
อ่ะให้ดูกันเบื้องต้นก่อนครับ ตอนถ่ายเสร็จแกะฟิล์มออกมา เป็นกลักของ Fuji C200 จริงๆจ้า
การแกะไม่ยากครับ ใจเย็นๆแปปเดียวก็แกะออกมาได้แล้ว เคล็ดลับคือ ค่อยๆและห้ามทำชิ้นส่วนพลาสติกต่างๆหักนะครับเดี๋ยวอด และที่สำคัญที่สุดเตือนกันทุกรอบที่แงะกล้องคือ
"ห้ามสัมผัสชิ้นส่วนแผงวงจรต่างๆครับ ไฟดูดเอาง่ายๆเลย" โดนมาหลายรอบครับเข็ดจริง
ในส่วนวิธีใส่เดี๋ยวผมมาเขียนละเอียดๆอีกทีนะครับ ม้วนนี้ผมทดลองใส่ Agfa Vista plus 400 เข้าไปแทนฟิล์ม iso 200 ครับ เพราะคิดว่าค่า f.stop ที่มันฟิกไว้แล้ว น่าจะให้ภาพที่ดีขึ้นกับฟิล์มที่ iso สูงขึ้น พูดง่ายๆคือถ่ายในที่แสงน้อยน่าจะดีกว่าครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตรงกับที่คิดไหม ในส่วนของการกรอฟิล์มนั้นทำได้ครับ แต่ทุลักทุเลมาก เอาเป็นว่าได้ภาพมาแล้วจะมารีวิวฉบับเต็มอีกทีนะครับ
บางทีเงิน 540 บาทที่จ่ายออกไป อาจจะทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้นก็เป็นได้จ้า
โอเคครับ สำหรับการริวิวกล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งแบบบ้านบ้านของผม ก็ขอตัวจบลงเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ ขอบคุณมากๆที่เข้ามาอ่านกัน อย่างไรก็ตามขอให้ชาวฟิล์มทุกท่าน "สบายดี" ครับผม
โน้ต อะฟิล์ม
สำหรับคนที่ใช้กล้องฟิล์ม ไม่ว่าจะกล้องเปลี่ยนเลนส์ได้หรือกล้องคอมแพ็ค พอเราใช้ไปซักพักอาจจะเริ่มคันๆ คืออยากจะหาฟิล์มใหม่ๆมาลองมาถ่ายอยู่เรื่อยๆ ผมเองเป็นคนนึงที่ออกอาการนี้เป็นประจำครับ และวันนี้โชคดีได้ลองของใหม่ แต่ไม่ใช่ฟิล์มใหม่นะครับ มันคือกล้องใหม่สำหรับผมเลย กล้องใช้แล้วทิ้งของ Kodak ที่แค่เห็นก็รักทันที หายคันแน่นอน
KODAK DAYLAGHT
เป็นกล้องใช้แล้วทิ้ง ติดฟิล์ม iso 800 ที่ถ่ายได้ 39 ภาพ สรรพคุณนี้คุ้นๆอยู่ในกล้องใช้แล้วทิ้งของ Kodak ในรุ่น HD Powerflash แต่กล้องตัวนี้แตกต่างออกไปคือทาง Kodak ตัดฟังค์ชั่นสำคัญออกไปคือ "แฟลช" แปลว่าถ้าจะใช้กล้องตัวนี้ถ่ายภาพ ก็ต้องโบกมือลาสถานการณ์แสงน้อยกันได้เลย
แต่สำหรับผมแล้ว ปกติไม่ค่อยชอบถ่ายด้วยแสงแฟลชเท่าไหร่เลยไม่คิดมากเรื่องไม่มีแฟลช ผมว่านั่นกลับเป็นข้อดีคือพอตัดแฟลชออกเลยทำให้ตัวกล้องมีขนาดเล็กลงมากทีเดียว พกง่ายกันเข้าไปอีก
ส่วนของ Spec คร่าวๆตามนี้ครับ
- ติดเลนส์ 32 mm
- ฟิก รูรับแสงและสปีดชัตเตอร์ไว้ที่ f.10 , 1/140s
- โฟกัสใกล้สุดที่ 1.20 เมตร
หน้าตาแบบนี้เลยครับ
แกะกล่องแล้วเจอซองสีเงิน
ด้านหน้า โล่งๆมีเลนส์ แล้วก็กริบมือจับ แฟลชไม่มีจ้า สบายเลย สังเกตนะครับ เขียนไว้ชัดเจน "Outdoor Use Only"
ด้านบน มีปุ่มชัตเตอร์ และตัวนับจำนวนรูปที่ยังถ่ายได้
ด้านหลัง มีตัวเลื่อนฟิล์ม และช่องมองภาพ และกราฟฟิคแนะนำการใช้งานกล้องง่ายๆ
ด้านล่าง บอกวันหมดอายุ และ iso ฟิล์ม ส่วนที่ข้างๆกันที่เป็นพื้นที่สีดำด้านขวา เขียนว่า PS ตรงนี้คือจุดแกะเอาฟิล์มออกครับ
สำหรับการใช้งานนะครับมันง่ายจริงๆ ง่ายสุดๆแล้วจ้า
1.เลื่อนตัวเลื่อนฟิล์ม ที่ด้านหลังกล้อง แกรกๆๆๆๆไปจนมันสุด
2.ห่างจากสิ่งที่จะถ่ายอย่างน้อย 1.20 เมตร
3.มองที่ช่องมองภาพ จัดองค์ประกอบ หรือจะลุยเลยไม่ต้องมองก็ได้
4.กดชัตเตอร์ที่ด้านบนของกล้อง
จบแล้ว!! จะถ่ายรูปต่อไปก็ทำตั้งแต่ขั้นตอนที่ 1 วนไปใหม่เรื่อยๆ จนกระทั่งเราเลื่อนตัวเลื่อนฟิล์มแล้วมันฟรียาวๆ แปลว่าถ่ายหมดแล้วจ้า
โอเคพอแล้วไปดูภาพกันครับ
อ๋อลืมบอกไปอีกอย่างครับ อันนี้คือมุมมองจากช่องมองภาพนะครับ จะบอกว่าตอนถ่าย ภาพที่ได้จะออกมากว้างกว่าที่เราเห็นจากกล้องนะครับ ให้เผื่อๆตอนจัดองค์ประกอบกันนิดนึง
เริ่มต้นด้วยสภาพอากาศแบบฟ้าหม่นๆให้ดูก่อนนะครับ
อ่ะเริ่มมีแดดมาหน่อยนึง
อ่ะลองแบบแดดดีดีหน่อย
เฮ้ยสีสันความสดเริ่มมาเว้ยยย ไหนขอลองดูแดดตอนซักสี่ห้าโมงเย็นดูซิ
กล้องตัวนี้ถ่ายได้ 39 รูปนะครับ ไปไปมามาถ่ายได้หลายวันอยู่นะถ้าไม่ได้ออกทริปถ่ายรูป ผมเองอดออมถ่ายตอนออกจากบ้าน วันไหนแดดดีหน่อยก็ถ่ายเยอะหน่อย วันไหนแสงไม่ดีก็ไม่ค่อยกล้าถ่ายครับ
มีอยู่วันนึงได้ออกไปตลาดน้ำคลองบางหลวงแถวๆบางกอกน้อย ก็พกเจ้า Daylight ตัวเล็กนี่ไปด้วย แต่เสียดายที่ฟ้ามืดครึ้มและมีฝนตก แต่ก็นะถือว่าทดลองถ่ายแบบสบายๆถ่ายๆไปเถอะเพื่อความสบายใจ
ใกล้ๆกับตัวตลาดคลองบางหลวงจะมี บ้านศิลปิน ที่เค้ามีการแสดงหุ่นละครเล็ก น่าสนุกมากๆแต่เสียดายที่มันเข้าที่มืดและใช้แสงธรรมชาติที่เหลือค่อนข้างน้อยในการแสดง ผมมั่นใจมากว่าถ้าถ่ายออกมาจะต้องมืดตึ้บแน่นอนเลยไม่ได้กดมาแม้แต่รูปเดียว
ท้ายสุดพกไปร้านกาแฟลองดูแสงธรรมชาติที่เข้าภายในอาคารครับ
สรุปแบบบ้านบ้านนะครับ
จากการได้ทดลองใช้มา 1 ตัว
- อย่างแรกเลยคือมันเล็กครับ พกติดตัวไปถ่ายนอกบ้านได้สบายมากๆ แถมน้ำหนักเบาดีอีกตะหาก , การใช้งานก็ง่ายมากๆ
- เน้นถ่ายในสภาพแสงดีดี เช่นภายนอกอาคารในวันที่ฟ้าสวยๆ จะแสงสีสันออกมาได้ดีครับ
- ถ้าเป็นไปได้อย่าถ่ายในที่ร่มหรือภายในอาคารที่มืดๆ และช่วงเวลาเย็นหรือกลางคืน เพราะกล้องตัวนี้ไม่มีแฟลชมาให้ แถมยังมีการ FIX รูรับแสงและสปีดชัตเตอร์ไว้ ซึ่งค่าที่เค้าเซตไว้ถ่ายออกมาในที่ร่มจะมืดแน่นอน
- สีสันสดดีนะครับ ถ้าแดดดี และเนื่องจากเป็นฟิล์ม iso 800 เกรนจะเยอะขึ้นกว่าฟิล์มปกติหน่อย , พื้นที่คมจะอยู่แถวๆกลางๆภาพครับ ตามขอบจะเบลอๆหน่อย แต่ผมไม่ซีเรียสครับ
- มุมมองของภาพที่ถ่ายเสร็จแล้วจะกว้างกว่าที่เห็นในกล้องอยู่ซักหน่อย ตอนจัดองค์ประกอบต้องเผื่อนิดนึงครับ
และตามระเบียบของคนซนครับ ผมเอากล้องมาแกะให้ดู
สำหรับคนที่ถ่ายเสร็จแล้ววิธีดูว่าฟิล์มหมดคือ ตัวเลื่อนฟิล์มจะแกรกกกกก ๆๆๆ ได้ยาวๆฟรียาวๆครับนั่นคือหมดแล้ว ให้เอาฟิล์มออกมาล้างได้เลย การเอาฟิล์มออกให้งัดที่ด้านล่างซ้ายของกล้อง (หันหน้ากล้องเข้าหาตัว) แงะแปปเดียวครับไม่ยากเลย
และจากการแงะลึกลงไปอีกที่ด้านในเป็นแบบนี้ครับ
ปกติผมจะทำการเตือนทุกท่านไว้ว่าอย่าแงะภายในกล้องออกมาดู เพราะมันจะมีแผงวงจรที่ต่อไว้กับแบต ไฟมันจะดูดเราได้ครับถ้าไปโดนแผงวงจรเข้า เจ็บจริงๆนะ แต่ดีใจมากครับที่คราวนี้แงะออกมาด้านใน ไม่มีแบต ไม่มีวงจรอิเล็กทรอนิกส์อะไรเลย ทำให้ไม่ต้องระวังอะไร และเท่าที่ผมดูนะครับ ผมมีความคิดว่า กล้องตัวนี้ "อาจจะ" สามารถใส่ฟิล์ม iso 800 ม้วนใหม่เข้าไปแทนที่ม้วนเก่า และทำให้กล้องเอากลับมาใช้ใหม่ได้ครับ แต่คงยากหน่อยเพราะว่าต้องทำในถุงมืดเพื่อดึงฟิล์มจากกลักใหม่ม้วนมาใส่ที่แกนด้านในของกล้อง สรุปคือต้องเอาฟิล์มออกมาจากกลักทั้งหมดก่อน ซึ่งขั้นตอนเอาออกมาจะโดนแสงสว่างไม่ได้เดี๋ยวฟิล์มเสีย
โอเคครับ ขอจบการรีวิวแบบบ้านๆไว้เท่านี้ครับ ใครสนใจกล้องถ่ายสนุกๆตัวนี้ ลองหามาลองใช้นะครับ Kodak Daylight รออยู่
โน้ต อะฟิล์ม
สำหรับท่านที่เคยลองกล้องใช้แล้วทิ้งมาก่อน คงจะได้รู้จักกล้องของหลายยี่ห้อ อย่าง Fuji Simple Ace, Agfa Lebox, Kodak HD Power flash กันมาแล้ว วันนี้ผมมีอีกยี่ห้อนึงมาแนะนำครับ พี่เค้าคือ Polaroid
POLAROID FUN SHOOTER ONE TIME USE CAMERA
ชื่อพี่แกมาอย่างยาว ผมย่อให้ละกันครับ เรียก Polaroid Fun Shooter ละกันครับ ทีนี้มาดู Spec กันก่อน
- ISO 400
- ถ่ายได้ 27 ภาพ
- ระยะโฟกัสเริ่มที่ 1.2 เมตร แปลว่าถ้าเราเอื้อมมือไปแตะโดนอะไร วัตถุนั้นจะหลุดโฟกัส ให้ถอยหลังออกมาซักหน่อย
- มีแฟลช ซึ่งระยะทำการเริ่มตั้งแต่ 1.2 เมตร ถึงประมาณ 3 เมตร
- ระยะ f stop และ speed shutter อันนี้ไม่แน่ใจครับ ผู้รู้บางท่านบอกว่าประมาณ f 9, 1/125 ซึ่งผมว่ายังไงก็คงหนีไม่พ้นเรื่องต้องถ่ายในที่แสงเยอะๆถึงจะดีเป็นแน่
มาดูหน้าตากัน แพ็คเกจ ดึงดูดกระเป๋าตังมากๆครับ
ในส่วนของด้านหน้ากล้อง จะเห็นตัวเปิดปิดแฟลชอยู่ด้านนี้ ชอบแฟลชแบบนี้ครับทำงานตรงไปตรงมา ถ้าปิดคือปิดจริงๆ ไม่เหมือนของ Kodak ที่เป็นปุ่มกด เวลาปิดแฟลชจะยังยิงได้อยู่จนกว่าจะทิ้งไว้ระยะนึงแฟลชถึงจะหยุดทำงานจริงๆ
ในส่วนของด้านหลัง ก็จะมีช่องมองภาพ, ไฟดวงเล็กๆแสดงสถานะแฟลชทำงาน (ด้านซ้ายของช่องมองภาพ) , แป้นหมุนสำหรับเลื่อนฟิล์ม, และที่สำคัญคือมีคู่มือการใช้งานง่ายๆอยู่ที่ด้านนี้ครับ
ที่ด้านบน มีปุ่มชัตเตอร์ ช่องบอกจำนวนฟิล์มที่เหลือครับ (ดันลืมถ่าย)
วิธีใช้งาน
ง่ายมากๆครับ
1. หมุนแป้นเลื่อนฟิล์มสีเทาที่ด้านหลังกล้องจนมันหยุด
2. เล็งในช่องมองภาพ
3. กดชัตเตอร์
จบ ง่าย แค่นี้จริงๆ
แต่ในส่วนของการใช้งานจริง มีข้อมูลการใช้ประมาณนี้ครับ
- เนื่องจากเป็นกล้องที่ปรับแต่งหรือตั้งค่าการถ่ายอะไรไม่ได้เลย ผู้ผลิตเลยมักจะทำให้กล้องมีค่า f stop และ Speed Shutter ที่ล็อคเอาไว้ให้เหมาะกับการถ่ายภาพทั่วๆไปในสภาพที่มีแสงสว่างพอเพียง เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้คือควรใช้กล้องตัวนี้กับสถานที่ที่มีแสงสว่างมากๆเช่นภายนอกอาคาร สถานที่กลางแจ้ง สวน ทะเล ภูเขา อะไรประมาณนั้น
- ถ้าจำเป็นที่จะต้องถ่ายในร่ม ในอาคาร หรือช่วงเวลาเย็นหรือกลางคืน ได้โปรดเปิดแฟลชเถิดครับ ไม่งั้นมีมืดตึ้บแน่ๆ
โอเคครับ เอาพอประมาณ ลองมาดูภาพกันก่อนดีกว่า ต้องขอบอกเลยว่างวดนี้ตอนได้กล้องมา ประเทศไทยของเรากำลังอยู่ในเข้าสู่หน้าฝนครับ มืดครึ้ม ฟ้าหม่น แดดเปรี้ยงๆแค่ช่วงกลางวัน สภาพอากาศโคตรค้านกับความต้องการของกล้องเลย แต่ยังไงแล้วก็ไม่ได้แปลว่ากล้องมันจะใช้ไม่ได้ครับ
อ่อลืมบอกไปว่า เวลาเรามองในช่องมองภาพจะได้มุมมองประมาณนี้นะครับ จะบอกว่าภาพที่ออกมาจริงๆจะกว้างกว่าที่เห็นพอสมควร เพราะฉะนั้นต้องเผื่อๆตอนจัดองค์ประกอบนิดนึงครับ
โอเคลุยกัน
เริ่มต้นกันที่สภาพแสงสว่างแบบ สว่างแต่ครึ้มๆหน่อยก่อนครับ
ถ้าสังเกตจะเห็นว่าอะไรที่เป็นเส้นตรงจะบิดๆหน่อยครับ น่าจะเป็นผลมาจากเลนส์ แต่ไม่ซีเรียสครับ เพราะกล้องไม่ได้เน้นคุณภาพอะไรมาก คือเน้นเรื่องใช้งานง่ายๆให้ได้ภาพครับ แต่สีที่ได้ก็สดดีอยู่นา
เที่ยงตรง ฟ้าหม่นสุดๆ T__T
สีสันก็จะได้มาประมาณนี้นะครับ มีบางช่วงได้แดดดีดี ได้สีสดสด ภาพก็ออกมาใช้ได้เลยครับ
อันนี้ลองในระยะโฟกัส ประมาณ 0.90- 1.20 เมตรครับ อาจจะมากกว่านิดหน่อย
ต่อไปขอลองในสถานที่ที่เริ่มมีแสงน้อยบ้างครับ อันนี้แบบไม่เปิดแฟลชนะครับ
เข้าร่มแสงรำไร
เนี่ยครับ ถ้าเข้าร่มไม่เปิดแฟลช และแสงธรรมชาติมีน้อยมากๆภาพก็จะหนักไปทางมืดๆเลย
คำถามคือแล้วถ้าเราเปิดแฟลชจะเป็นยังไง
ถ้าตรงนั้นมืดๆ และไม่มีแสงจากฉากหลังมาเสริมให้ Background มันสว่างขึ้น แล้วเราเปิดแฟลช แสงแฟลชก็จะครอบคลุมระยะแค่ตัวแบบครับ ส่งผลให้ฉากหลังมืดตึ้บ และภาพจะดูแข็งๆหน่อย แต่รับรองว่าได้ภาพที่ดีกว่าไม่เปิดแฟลชแน่นอนครับ
ก็มีประมาณนี้นะครับ จบม้วนนี้ผมได้ภาพมา ประมาณ 28 ภาพ ก็โอเคเลย แต่แหม่ถ้าอัดมาให้เป็น 39 ภาพไปเลยจะสะใจมากๆครับ
สรุปแบบบ้านบ้านกันจ้า
ในเรื่องของความคมชัด ผมว่าก็ตามระดับของเลนส์ติดกล้องง่ายๆราคาไม่แพงครับ มีความคมชัดที่ใช้ได้ถ้าอยู่ในระยะโฟกัสตาม Spec ครับ ถ้าถ่ายภาพหมู่หลายๆคน น่าจะโอเคเลย
ในเรื่องของสีสัน ผมว่าก็ให้สีสันที่สดอยู่นะครับ เพราะว่าฟิล์มยังใหม่ๆอยู่ และถ้าได้แสงสว่างดีๆ ผมว่ากล้องตัวนี้ถ่ายทอดสีออกมาได้ดีเลยทีเดียว
ในเรื่องของการใช้งานในหลายๆสภาพแสง ผมว่าไม่ต่างจากกล้องค่ายอื่นครับ คือมันต้องการแสงสว่างที่มากๆ ถ้าอยู่ในร่มมีแสงธรรมชาติเข้ามาเยอะๆ ก็ยังรอดอยู่ แต่ถ้าเข้าร่มแล้วต้องเปิดดวงไฟในอาคารเมื่อไหร่ เตรียมตัวมืดตึ้บได้เลยครับถ้าไม่เปิดแฟลช
เรื่องการพกพา เรียกว่าสบายสุดๆครับ เบาและเล็กมาก ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วไม่รู้สึกว่ามันเป็นภาระในการเดินเลย
เรื่องการใช้งาน ก็ง่ายสุดๆไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย เล็งแล้วกดลูกเดียว
เรื่องราคา ตอนนี้อยู่ที่ 270-280 บาทครับ (พค. 2561) ก็ต้องบอกว่าราคานี้ถูกกว่าฟิล์มเปล่าๆบางรุ่นอีก ๕๕๕๕
ในส่วนของการเอาฟิล์มไปล้างนะครับ ก็ล้างได้ตามปกติ เหมือนฟิล์มทั่วไปครับ แต่อาจจะเพิ่มขั้นตอนการเอาฟิล์มออกจากกล้องนิดหน่อย คือถ้าเราถ่ายจนหมด 27 รูปแล้ว ให้สังเกตว่าตัวเลื่อนฟิล์มสีเทา จะเลื่อนได้แบบฟรียาวๆเลยครับ
ในส่วนขั้นตอนการเอากลักฟิล์มออกมาก็ไม่ยากครับ หาอะไรมางัดที่ด้านล่างกล้อง แล้วเปิดฝาออกก็จะเจอกลักฟิล์มแล้วครับ
กล้องตัวนี้เหมือนกล้องใช้แล้วทิ้งทั่วๆไปครับคือไม่ต้องกรอฟิล์ม ถ่ายหมดก็คือเสร็จเลย ฟิล์มจะเข้าไปอยู่ในกลักทั้งหมดเรียบร้อย พร้อมให้เราเอาไปล้างได้เลย แต่ถ้าใครงัดไม่ออกหรือกลัวมือจะแหก ก็เอาไปให้ร้านล้างฟิล์มเค้างัดให้ได้นะครับ และถ้าจะเก็บกล้องไว้เป็นที่ระลึก ก็อย่าลืมขอเค้ากลับมาด้วยนะครับ สวยดีออก
เอ่อแต่กล้องแบบนี้ไม่สามารถเอาฟิล์มมาใส่ถ่ายใหม่ได้นะครับ เราเลยเรียกชื่อมันเล่นๆว่ากล้องใช้แล้วทิ้ง (มีกล้องประเภทนี้ของ Lomography ที่สามารถนำฟิล์มมาใส่ใหม่ได้ครับแต่ราคาก็แรงเอาการ)
แต่สำหรับท่านที่จะเก็บกล้องที่ใช้เสร็จแล้วไว้เป็นที่ระลึกนั้น ต้องสัญญาก่อนนะครับว่าจะ "ไม่แงะ" เครื่องในมันออกมาดูเด็ดขาด ที่เตือนเพราะผมเคยลองมาแล้วครับ ด้านในกล้องแบบนี้มีถ่านที่ให้กำลังไฟกล้องและแฟลช ซึ่งสูงพอที่จะดูดมือคุณให้เจ็บได้ครับ ผมโดนมาแล้วทุกรอบที่แกะ คือเรียกว่าระวังก็ยังโดน
โอเคครับวันนี้ผมโชคดีที่ไม่ได้แงะกล้อง และก็ขอจบการรีวิวเจ้ากล้อง Polaroid Fun Shooter ตัวนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้ครับ คราวหน้าวันไหนที่แสงสวยๆอากาศดีๆ ก็อยากจะเอาเจ้านี่ไปลองถ่ายอีกซักทีนะครับ
โน้ต อะฟิล์ม
]]>
อ่ะมาครับไม่ต้องอ้อมค้อมมากมาย มาดูกันว่าเป็นยังไงบ้าง กล้อง ILFORD ตัวนี้ใส่ฟิล์มขาวดำ HP5 PLUS 400 น่ะครับ สามารถล้างฟิล์มด้วยน้ำยาล้างฟิล์มขาวดำทั่วไป ได้เลย (จริงๆแล้ว ILFORD มีกล้องอีกตัวนะครับใช้ฟิล์ม XP2 400 ตัวนั้นเป็นฟิล์มที่ใช้น้ำยาล้างฟิล์มสีมาล้างได้ด้วย แต่คราวนี้ขอพูดถึงเจ้าตัว HP5 ก่อนนะครับ)
มาดูแพ็คเกจกันก่อนครับ
มาในสไตล์นิ่งๆเท่ๆ
ด้านหน้านะครับ. กล้องจะเป็นพลาสติก ด้านหน้าใสๆ ใส่กระดาษทำกราฟฟิคสีสันลงไป ไม่เหมือนเจ้าอื่นๆ ที่ทำพลาสติกดำๆทึบๆแล้วแปะสติ้กเกอร์เอา
ในส่วนของด้านหน้าก็จะมี เลนส์ระยะ 30 มม. นะครับ มีแฟลชที่ด้านหน้า มีตัวเปิดปิดแฟลชเป็นตัวกดอยู่ด้านล่างแฟลชครับ
ด้านหลัง ก็จะมีช่องมองภาพอยู่ตรงกลาง มีช่องไฟดวงจิ๋วแสดงสถานะแฟลชอยู่ข้างกัน ถ้าไฟตัวนี้ติด แสดงว่าแฟลชพร้อมใช้ครับ. อีกส่วนนึงที่จะเห็นคือ รูปภาพแสดงวิธีใช้กล้องแบบง่ายๆครับ ด้านขวาสุดจะเป็นตัวเลื่อนฟิล์มครับ ทุกครั้งที่จะถ่ายภาพใหม่ก็มาเลื่อนที่ตัวนี้ไปทางขวามือ แกรกกกๆๆ จนสุดก็เริ่มถ่ายภาพใหม่ได้ครับ
ในส่วนของด้านบน ก็จะมีปุ่มชัตเตอร์ และก็ตัวนับจำนวนภาพเป็นตัวเลข โดยจะแสดงแบบถอยหลังนะครับ เพราะฉะนั้นตัวเลขที่เราเห็นคือ จำนวนฟิล์มที่เหลืออยู่ครับ ตัวนี้สามารถถ่ายได้ 27 ภาพด้วยกันจ้า
มาดู spec คร่าวๆกันนิดนึงนะครับเพื่อความเข้าใจในการใช้งาน จะได้ไม่พลาดครับ
– เลนส์ 30 มม. ถ่ายแล้วไม่อึดอัดแน่นอน กว้างอยู่
– iso 400 ถ่ายได้ 27 ภาพ
– ตั้งค่ารูรับแสงและสปีดฟิกเอาไว้แล้วที่ f9.5 1/100 ด้วยค่านี้ก็เหมือนกล้องใช้แล้วทิ้งทุกตัวครับ คือมันชอบแสงจ้าๆ แดดแรงๆ และเมื่ออยู่ในที่ร่มเมื่อไหร่ต้องเปิดแฟลชเท่านั้นครับไม่งั้นมืดตึ้บแน่นอน
– ระยะโฟกัสอยู่ที่ 1 เมตรออกไปครับ คือแปลว่าอะไรที่เราจะถ่าย เช่นจะถ่ายเพื่อน ถ้าเราเอื้อมมือออกไปแตะไหล่เพื่อนได้ แสดงว่าถ่ายมาเพื่อนหน้าเบลอแหงๆครับ ให้ถอยไปให้พ้นระยะมือเอื้อมหน่อย
– ระยะแฟลชที่ยิงออกไปครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 3 เมตรครับ
ค่าตัวกล้อง อยู่ที่ราวๆ 430 บาทครับ
วิธีใช้
1. เลื่อนตัวเลื่อนฟิล์ม ที่นิ้วโป้งมือขวา ทุกครั้งก่อนถ่ายภาพใหม่ โดยเลื่อนไปทางขวา แกรกๆๆให้สุด
2. มองช่องมองภาพแล้วจัดองค์ประกอบ
3. กดปุ่มชัตเตอร์ที่ด้านบน จบ!
จะถ่ายภาพต่อไปก็ทำขั้นตอนที่ 1. วนไปใหม่ครับ
กรณีเข้าที่ร่มหรือที่มืดแล้วต้องการเปิดแฟลช ให้กดปุ่มเปิดแฟลชที่ด้านหน้ากล้อง รอจนไฟดวงเล็กๆที่ด้านข้างช่องมองภาพติด แล้วก็กดถ่ายได้ตามปกติครับ
พร้อมแล้วนะ จะลุยละนะ
อ่ะมาดูถ่ายกลางแจ้งกันก่อนครับ แดดเปรี้ยงๆออกมาประมาณนี้ครับ
มีเกรนมาเยือนให้เห็นทันทีครับ สำหรับผมแล้วมาประมาณนี้โอเคครับให้รสชาติภาพที่ถ่ายจากฟิล์มได้ดีทีเดียว
ดูรูปเรือแล้วรู้สึกว่าสว่างเวอร์ๆยังไงไม่รู้ แหม่ถ้าอันเดอร์กว่านี้หน่อยแจ่มเลย
กดหยุดทันใจนะครับแหม่
ดูรวมๆแล้วภาพจากกลางแจ้งชอบครับผม เกรนสวยๆ มุมกล้องกว้างๆ ถ่ายสบายมากๆ
คอนทราสภาพส่วนตัวคิดว่าดีครับ ไม่มากเกินไป ยังพอมีสีเทาๆมาให้เห็นสบายตาบ้าง
ผ่านมาหน้าหอศิลป พบภาพในหลวง พนมมือก่อนถ่ายภาพครับ ขอไม่พูดเยอะครับเดี๋ยวน้ำตาไหลใส่คีย์บอร์ดอีก
อ่ะลองมาดูภาพตอนเข้าร่มกันบ้างครับ
อันนี้เข้าร่มแล้วแต่มีแสงสว่างจากภายนอกมาพอสมควร แต่เมฆมืดตึ้บ กลัวอ่ะเปิดแฟลชดีกว่า
อันนี้เป็นอุโมงค์มีผ้าใบคลุมแสงมันสว่างมากเลยลองปิดแฟลชดูครับ
อันนี้ถ่ายในหอศิลป์ แสงน้อยพอสมควรเลยต้องเปิดแฟลช ก็ได้ภาพครับแต่ค่อนข้างเยิน
รูปสุดท้ายละครับ ภาพนี้ผมจำไม่ได้จริงๆว่าเปิดแฟลชหรือเปล่า แต่คิดว่าเปิดนะครับ
โอเคครับ ก็ได้ภาพออกมาประมาณนี้ พอเราถ่ายภาพจนฟิล์มหมด จะสังเกตได้ว่าเวลาเราเลื่อนฟิล์มเพื่อถ่ายภาพต่อไปเราจะหมุนแป้น แกรกๆๆๆข้างหลังนั่นได้แบบยาวๆไม่สิ้นสิ้น แปลว่าสามารถแงะฟิล์มออกมาแล้วไปล้างได้เลย
ส่วนวิธีแงะฟิล์มนั้น สามารถงัดเองได้ที่ด้านล่างของตัวกล้องนะครับ อาจจะยากหน่อยแต่ไม่ยากเกินไป แต่ถ้าใครไม่ชัวร์ให้เอาไปให้ที่ร้านล้างแงะให้นะครับ แล้วอย่าลืมขอกล้องกลับมาเป็นที่ระลึกด้วย.
แต่สำหรับตัวผมแล้วความซนเข้าครอบงำ มันต้องแงะเองครับ และมีคำเตือนนะครับ ว่าถ้าใครจะทำตามกรุณาระวังไฟดูดนะครับ ขนาดผมระวังมากๆแล้วยังไม่วายโดนไปสองรอบ เจ็บนะครับขอบอก
นั่นแหละครับเอาฟิล์มออกมาทางนี้นะครับ และเท่าที่ดูก็เป็นกล้องที่ไม่น่าจะสามารถโหลดฟิล์มเข้าไปใหม่ได้นะครับ และที่เห็นในภาพแรกที่เป็นแผงวงจรด้านหน้ากล้อง นั่นแหละครับอย่าไปโดนเชียว เราเตือนคุณแล้วนะ
อ่ะเจออีกรูปเป็นมุมมองจากช่องมองภาพของกล้องครับ สบายๆไม่อึดอัด
โอเคครับก็มีประมาณนี้ ถ้าจะสรุปให้ฟังคร่าวๆนะครับ ส่วนตัวผมว่าเป็นกล้องที่ดีครับได้ภาพที่ออกมาสวยถูกใจ ถ้าถ่ายกลางแจ้ง แต่ยังมีติดอยู่ว่าบางภาพออกมาสว่างเกินไปอยู่นิดหน่อย ในส่วนของการใช้แฟลช ผมว่านะ ถึงเค้าจะติดแฟลชมาให้แต่เอาเข้าจริงๆถ้าเลือกได้ก็เน้นถ่ายภาพกลางแจ้งเถอะครับ เพราะเปิดแฟลชแล้วส่วนใหญ่ได้ภาพที่ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่ และเจ้าแฟลชนี่ผมค่อนข้างจะงงกับมันครับ คือมันมีปุ่มเปิดปิดนะครับที่ด้านหน้า คือกดลงไปทีนึงมันจะเปิดแฟลช แต่ถ้ากดอีกทีก็น่าจะเป็นปิดแฟลชใช่มั้ยครับ แต่ไม่มันยิงยาวเลย คือถ้าเราเปิดแฟลชถ่ายภาพนึง แล้วเดินไปอีกหน่อยถ่ายอีกภาพนึงโดยไม่ได้กดเปิดแฟลชเลย มันจะยังยิงแฟลชอยู่นะครับ ผมสังเกตว่ามันจะมีระยะเวลาของมันครับ คือถ้าผมทิ้งไว้สักพัก แล้วหยิบมาถ่ายใหม่ แฟลชจะไม่ยิงออกมาเองแล้ว. ปัญหานี้ผมก็เป็นกับเจ้ากล้องของ Kodak 800 ครับ
ในเรื่องของราคาก็แพงกว่ากล้องฟิล์มสี ที่ถ่ายได้ 39 ภาพบางตัวอีกครับ แต่ผมว่านะราคาประมาณ 430 บาทนี้ ถ้าถ่ายดีๆเน้นๆ ถ่ายให้สนุก ผมว่าได้ภาพดีๆได้ความทรงจำดีๆกลับมามันก็คุ้มค่านะครับ
โอเคครับไปก่อนละครับขอบคุณชาวฟิล์มทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะครับผม
]]>ช่วงนี้กล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้งกำลังทยอยเดินทัพออกมาให้ชาวฟิล์มได้สัมผัสกันนะครับ ทั้งทางฝั่งโกดัก ฟูจิ และ lomography มีให้เห็นให้ลองใช้กันเยอะแยะ แต่เนื่องจากส่วนตัวผมชอบฟิล์มในสายรองอย่างอักฟ่า ก็เลยต้องค้นหา กล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้งมาลองกันดู
AGFA LEBOX 400
ซึ่งก็มีจริงๆ มันคือ Agfa Lebox กล้องฟิล์มแบบใช้แล้วทิ้ง จำนวน 27 ภาพ ที่ iso 400 หน้าตาประมาณนี้ครับ
แพคกล่องกระดาษและหุ้มซองพลาสติกใสมาให้ จากด้านหน้าจะเห็นว่ากล้องตัวนี้มีแฟลชให้ใช้งานด้วยนะครับ เป็นแถบเลื่อนเปิดปิดง่ายๆ
ด้านหลังแปะสติ้กเกอร์บอกวิธีใช้งานครับ ซึ่งก็ง่ายมากครับ 1…2…3 แช๊ะ ทางขวาสุดเป็นตัวเลื่อนฟิล์มในการถ่ายภาพรูปต่อๆไปนะครับ
ด้านบนซ้ายสุดเป็นไฟแจ้งสถานะการเปิดแฟลช ต่อมาเป็นตัวเลขบอกจำนวนฟิล์มที่ยังเหลือในการถ่ายภาพ และถัดไปเป็นปุ่มชัตเตอร์ครับ
พอถ่ายภาพเสร็จตัวเลื่อนฟิล์มจะเลื่อนได้แบบฟรีนะครับแปลว่าฟิล์มหมดแล้ว จากนั้นก็งัดฟิล์มทางด้านล่างออกเพื่อเอาไปล้างได้ครับ แต่ทางที่ดีเอาให้ที่ร้านแงะจะดีกว่าครับปลอดภัยกว่า และอย่าลืมนะครับ เชื่อผมถ้าจะแงะกล้องใช้แล้วทิ้งควรแงะแค่ฟิล์มออกมา อย่าไปรื้อเครื่องในของกล้องในส่วนอื่นๆ เพราะว่าอาจจะโดนไฟดูดแบบผมในคราวที่แล้ว ที่ซ่าไปแงะมารอบนึง เจอแผงวงจรดูดไปทีนึงเข็ดไปอีกนานเลย
งัดออกมาเป็นฟิล์มแบบ 27 ภาพ iso 400 ผลิตในญี่ปุ่นครับ ก็เดาเอาเองว่าคงจะเป็นเจ้า Agfa Vista plus 400
โอเคครับไปดูภาพกัน
ไม่รู้ว่า spec ของกล้องเป็นยังไงนะครับ แต่คิดว่าเลนส์ที่ให้มาก็กว้างพอจะเก็บทุกอย่างได้หมดครับ ถ้าไปไปถ่ายภาพหมู่น่าจะโอเคมากๆ
และบางที่ก็ลืมตัว จับกล้องไม่ดี กล้องจะเก็บนิ้วเรามาด้วยนะครับให้ระวังให้ดี
กล้องตัวนี้ถ้าถ่ายกลางแดดแบบจ้าๆ สีสันจะออกมาสวยดีครับ
อ่ะพอดีได้เดินทางไปร้านกาแฟอีกแล้ว ชื่อร้าน LILU ที่ซอยราชครู ซึ่งเจอสภาพแสงทุกแบบเลยครับ เริ่มจากแดดจ้าๆ
สังเกตว่าขอบภาพจะเบลอๆหน่อยครับ แต่ไม่เป็นปัญหาครับ สำหรับผมสบายมาก
พอเข้าด้านในแสงน้อยลง เกรนเริ่มมาให้เห็นครับ นั่งในที่สว่างๆยังสามารถถ่ายแบบไม่เปิดแฟลชได้อยู่ครับ
แต่ในช่วงแสงน้อยแล้วไม่เปิดแฟลชภาพจะอันเดอร์แน่ๆครับ
แว่บไปอีกร้าน ชื่อร้าน Stand Alone วิภาวดี 20
แสงน้อยไม่เปิดแฟลช ยับเยินพอดูครับ
แต่ถ้าได้แสงธรรมชาติจากหน้าต่างก็พอลุ้นครับ
ทีนี้แบบมืดเลยลองเปิดแฟลชดู
ระยะโฟกัสไม่ควรต่ำกว่า 1 เมตรนะครับ
สรุปโดยรวมนะครับ
Agfa Lebox 400 ตัวนี้
– ชอบที่แสงจัดๆเลยครับ ถ่ายภายนอกอาคาร แดดเยอะๆ วันฟ้าใสๆจะดีมาก
– ถ้าแดดมันแรงเกินจะออกไปถ่ายรูป ถ่ายแบบ semi outdoor คือมีแสงพอสมควรไม่มากไม่น้อยเกินไป เช่น ภายในอาคาร ที่ยังสว่างๆ ยังพอได้ครับ
– ในที่ร่มแบบแสงน้อยมากๆ ก็เปิดแฟลชเถอะครับ ได้ภาพแน่ๆ แต่แสงในภาพอาจจะดูแข็งๆหน่อย
– ผมคิดเอาเองนะครับว่า เลนส์มันจะกว้างๆหน่อย คิดว่าต้องเผื่อระยะให้ใกล้กว่าที่มองเห็นจากกล้องซักนิดนึง
– ราคาแถวๆ 320 บาท สำหรับผมได้กล้องพร้อมฟิล์ม ในราคานี้ผมว่ายังไม่แพงครับ
– พกออกไปเที่ยวและถ่ายได้ง่ายมากๆ เป็นวันที่ตัวเบาดีสุดๆเลยครับ เพราะกล้องมันตัวเล็กนิดเดียวเอง
โอเคครับ ส่วนตัวแล้วม้วนนี้จะรีบๆไปหน่อย เดี๋ยวจะลอง LeBox ตัวนี้อีกซักทีที่มีโอกาสครับ คราวนี้รู้แล้วว่ามันชอบแสงและสถานการณ์ประมาณไหน ไว้มาอัพเดทใหม่คราวหน้าครับ วันนี้ขอบคุณมากครับผม
]]>คือก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสลองกล้องใช้แล้วทิ้งของ ฟูจิและอักฟ่าไปแล้ว ก็รอนะว่าเมื่อไหร่จะได้ลองของสายเหลืองโกดักเค้าดูซักที เฉียดไปเฉียดมาอยู่นานจนในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสเหมาะ ได้กล้องโกดักมาจนได้ ไปดูกันครับว่าจะแรงขนาดไหน
ไม่พูดพร่ำไม่ทำเพลง มาดูกันเลย ในส่วนของชื่อนั้นไม่รู้เรียกถูกไหมนะ
KODAK HD POWER FLASH 800
งมหา spec กันอยู่พักใหญ่ พี่แกไม่ได้บอกด้านนอกกล่องว่าใช้ฟิล์ม iso เท่าไหร่ คือต้องแกะกล่องฉีกซองออกมาเจอด้านล่างตัวกล้องเขียนว่า iso 800 อะโหวมันต้องแรงแน่ๆ พยายามหารีวิวเรื่อง F. กับ Speed Shutter ก็หาไม่เจอ แต่มีเว็บนึงเขียนว่า ทาง KODAK ฟิกค่าไว้ที่ F.22 ,Speed Shutter อยู่แถวๆ 1/100 แปลว่าอะไร แปลว่าถ้าข้อมูลนี้ถูกต้อง ถึงแม้ว่าจะใส่ ฟิล์ม iso 800 จำนวน 39ภาพมาให้ แต่ฟิกค่าไว้ขนาดนี้ ถ่ายในที่แสงน้อย ยังไง้ยังไงก็ต้องเปิดแฟลชแน่ๆ
เอ้า!!! มาไปดูหน้าตาเค้าหน่อย
ก็เรียบๆง่ายๆแต่สีสดๆ
ด้านหน้า ติดเลนส์ แถวๆ 25-28 mm อันนี้ไม่คอนเฟิมนะครับ แต่ภาพออกมากว้างอยู่ , มีปุ่มเปิดแฟลชอยู่ที่ด้านนี้ เท่าที่ลองดูนะครับ อันนี้ผมว่าจะมีปัญหานิดนึง คือ กด 1 ทีจะเปิดแฟลช พอกดอีกทีน่าจะปิด แต่มันไม่ปิดครับ กดค้างก็ไม่ปิด ผมต้องรอประมาณ สองนาทีครึ่งมันถึงจะปิดตัวเองลง ก็ลำบากพอดู
ด้านหลัง มีช่องมองภาพ ซึ่งไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมดของภาพนะครับ ภาพออกมาจะกว้างกว่าที่เห็นในช่องมองนี้ ข้างๆกันเป็นตัวเลื่อนฟิล์ม ก็แกรกกๆๆๆหมุนกันไป ที่ด้านหลังนี้จะมีวิธีใช้กล้องแบบง่ายๆด้วยนะครับ 1,2,3,4 ทำตามสเต็ปไปเลยไม่ยุ่งยาก
ด้านบนลืมถ่ายมาครับ เป็นปุ่มชัตเตอร์สีเทาๆ ข้างๆกันเป็น ตัวเลขแสดงจำนวนที่เหลือของภาพที่ถ่ายได้ ถัดไปจะเป็นไฟดวงเล็กๆบอกสถานะแฟลช ถ้าติดอยู่ก็ใช้แฟลช ถ้าดับก็ไม่ยิงแฟลชออกไปครับ ไอ้ไฟดวงนี้แหละครับมันจะดับไปเองถ้าไม่ได้ใช้แฟลช ภายใน สองนาทีครึ่ง และระยะการยิงแฟลชควรใช้ที่ระยะห่างจากวัตถุที่ถ่ายประมาณ 1.20-4.5 เมตรครับ
อ่ะพอละไปดูสถานการณ์จริงในการใช้งานกันครับ
1.แดดเปรี้ยงๆหัวร้อนๆตอนกลางวัน
คุณพระคุณเจ้าสีสันสดใส มีวิกเนตขอบมืดแบบบางๆๆๆ สวยยังกะใช้กล้อง LC-A (เวอร์ไป) ดูที่รูปล่างสุดนะครับ ที่หลังคาสีแดงๆจะเห็นว่าติดปลายร่มของแม่ค้าขายปลาสลิดมาด้วย ตอนมองในช่องมองภาพไม่มีนะครับ เพราะฉะนั้นใช้กล้องตัวนี้ต้องเผื่อๆหน่อยนะ
อันนี้ระยะวัตถุใกล้ไปหน่อย แถมเปิดแฟลช เลยเบลอๆแบบสว่างๆ พลาดมากๆ ระยะโฟกัสวัตถุที่ดีควรห่างจากกล้องเกิน 1.20 เมตร นะครับ จำง่ายๆเอื้อมมือไปคว้าอะไรได้แสดงว่าของสิ่งนั้นถ่ายออกมาอาจจะเบลอครับ
2.สภาพสว่างแต่ครึ้มๆหน่อย หรือเริ่มเข้าในที่ร่มที่ไม่มืดมากนัก
ความสดอาจจะลดลงมาหน่อยตามสภาพแสงแต่สียังสวยได้ใจนะครับ
ด้านล่างสองรูปนี้ สภาพเริ่มเข้าที่ร่ม แต่แสงสว่างยังแรงอยู่ รูปแรก ไม่เปิดแฟลช รูปที่สองเปิดแฟลช สังเกตว่าหน้าคนจะสว่างขึ้นในรูปที่สอง แต่ฉากหลังยังคล้ายกันมาก
อ่ะดูอีกทีที่ด้านล่าง รูปแรกไม่เปิดแฟลช รูปที่สองเปิดแฟลช
อันนี้ใต้ร่มไม้แบบเปิดแฟลช
3.สภาพแสงน้อยหรือช่วงเย็นๆ
อันนี้ลองในสภาพแสงน้อยมากแล้วบรรยากาศด้านนอกประมาณแสงแบบผีตากผ้าอ้อม ลองแบบไม่เปิดแฟลช !!! ออกมามืดตึ้บ แต่สียังกะฟิล์มเรดสเกล
อันนี้ลองถ่ายหลวงพ่อโต สุพรรณบุรี ในวิหารที่แสงน้อยๆแต่ไม่ถึงกับมืด ลองเปิดแฟลชดู
ภายในร้านกาแฟ สภาพแสงน้อยหน่อยยิงแฟลชห่างๆตัวแบบ
4.สภาพแสงหมด หรือ มื้ดตึ้บ
กรณีนี้เป็นภาคบังคับนะครับ คือเมื่อไหร่ก็ตามที่อยู่ในห้องหรืออยู่ภายนอกอาคารที่ไม่เหลือแสงธรรมชาติ หรือปิดไฟในห้องแล้ว ต้องเปิดแฟลชเท่านั้นนะครับ
พอดีหมาหน้าขาวอยู่แล้วยิงแฟลชเข้าไป ขาวโอโม่เลยทีนี้
ครับก็ประมาณนี้นะครับสำหรับเจ้ากล้องใช้แล้วทิ้งของโกดักตัวนี้ เท่าที่ลองในหลายๆสภาพแสง ผมว่ากล้องและฟิล์มมันให้ภาพที่ออกมาถูกใจผมมากเลยทีเดียว กับราคาประมาณแถวๆ 350 บาท ถ่ายได้ตั้ง 39 รูป ผมว่ามันก็ง่ายๆแต่คุ้มดีครับ
สรุป
ผมคิดว่ากล้องตัวนี้ก็เหมือนกับกล้องใช้แล้วทิ้งทั่วๆไปที่มีการ ฟิก F. และ Speed Shutter ไว้ คือมันน่าจะเหมาะสำหรับการถ่ายภาพระหว่างวันที่มีแสงสว่างมากๆ เช่น ภาพ Outdoor กลางแจ้ง ตั้งแต่เช้ายันบ่ายๆ และถ้าได้แดดดีๆสีสันก็จะออกมาสดมากๆ ส่วนเวลานอกเหนือจากนั้นก็ยังถ่ายได้แต่ต้องเปิดแฟลชเพื่อให้ได้ภาพออกมาไม่มืดจนดูไม่รู้เรื่อง หลายๆคนไม่ชอบภาพกลางคืนแบบเปิดแฟลชเพราะภาพมันจะดูแข็งๆ ผมแนะนำว่างั้นคงต้องหลีกเลี่ยงการถ่ายในสภาพแสงตอนกลางคืนแบบที่มืดมากๆหรือฉากหลังไม่มีแสงสว่างเอาซะเลย หรือต้องหาวิธีทำตัวเบ๊าซ์แฟลชแบบ DIY มาทำให้แสงมันซอฟลง
(แต่อยากลองเอาไปถ่ายงาน แบบงานคอนเสริ์ตอะไรแบบนั้นนะน่าจะสะดวกดี)
ก่อนจากกันวันนี้ ตามธรรมเนียมครับ ต้องขอแงะกล้องออกมาดูซะหน่อย แบบระมัดระวังไม่ให้โดนไฟดูด
การแงะไม่ยากครับ สามารถแกะออกมาโดยไม่เสียหายได้ อย่างตอนที่ผมถ่ายเสร็จ จนตัวเลื่อนฟิล์มมันเลื่อนได้ฟรีแบบยาวๆแล้วนั่นแหละคือถ่ายเสร็จ ผมก็ลองแกะฟิล์มออกมาจากกล้องเอง ก็ง่ายๆครับแกะไม่กี่จุดก็ได้กลักฟิล์มออกมา และเหมือนๆกับกล้องใช้แล้วทิ้งทั่วไป เจ้าตัวนี้ถูกบรรจุฟิล์มลงในกล้องแบบให้ฟิล์มอยู่นอกกลักก่อน แล้วการเลื่อนฟิล์มเพื่อถ่ายภาพถัดไป คือการเลื่อนฟิล์มกลับลงไปในกลัก กล้องประเภทนี้จึงไม่จำเป็นต้องมีตัวกรอฟิล์มตอนถ่ายเสร็จ ผมดูๆลองๆแล้วพอจะมีความหวังอยู่บ้างนะครับว่า “อาจจะ” โหลดฟิล์มใส่ลงไปใหม่ได้ เพราะมีแกนพลาสติกสีดำ (ด้านซ้ายของภาพ) ที่ตูดแกนมีร่องไว้ให้หมุนฟิล์มมาเก็บทางฝั่งซ้ายของกล้องได้ แต่ติดตรงยังคิดไม่ออกว่าจะทำในสภาพไหน เพราะเมื่อใส่ฟิล์มลงไปแล้ว แกนซ้ายหมุนได้แต่แกนขวาที่บรรจุกลักฟิล์มจะล็อกไม่ให้หมุน…….ใครทำได้ช่วยบอกทีละกันครับ แต่ถึงจะทำได้ก็ต้องหาฟิล์ม iso เดียวกันมาใส่ หรือไม่ก็ใส่ฟิล์ม iso อื่นๆแล้วมา push เอาตอนล้างฟิล์มนะครับ
กลักสวยมากชอบๆ (สังเกตุจะมีรอยบากที่หัวกลัก)
โอเคครับผมวันนี้ก็ขอจบบทความแต่เพียงเท่านี้ครับ ใครได้ลองใช้แล้วก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับผม
ขอบคุณมากๆครับ
ถ้าจะเริ่มต้นด้วยคำว่า “กล้องใช้แล้วทิ้ง” ฟังดูจะเป็นคนมีเงินทองเหลือใช้ ฟุ่มเฟือย ฟู่ฟ่าปานนั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วผมกำลังจะพูดถึงกล้อง FUJIFILM SIMPLE ACE 400 ครับ
FUJIFILM SIMPLE ACE 400
มันคือกล้องแบบใช้ครั้งเดียว บรรจุฟิล์ม Fuji 400 มีแฟลช ที่ถ่ายได้ 39 รูป ราคาก็ แถวๆ 300 กว่าบาท เมื่อก่อนนี้สมัยที่กล้องดิจิตอลยังไม่มา กล้องแบบนี้เราอาจจะหาได้ตามแหล่งท่องเที่ยว หรือร้านล้างรูปต่างๆ ที่พร้อมเสริฟให้กับคนที่มาเที่ยวแต่ไม่มีกล้องหรือไม่ได้เอากล้องมาจากบ้าน แต่อยากจะได้ภาพกลับไปเป็นที่ระลึก ปัจจุบันร้านล้างรูปต่างๆหายไป พร้อมกับการมาของกล้องดิจิตอล ทำให้เราหากล้องใช้ครั้งเดียวแบบนี้ยากขึ้น แต่ก็ยังมีผลิตกันอยู่ โอเควันนี้เราลองมาใช้มันดูซักครา
เท่าที่ลองดูมันใช้ง่ายมากๆครับ เรียกว่าฉีกซองแล้วก็ใช้ได้เลย
แต่ก่อนจะใช้ผมว่าลองมาดูสเปค กันนิดนึงก่อนว่ามันต้องใช้ยังไงนะครับ
Film ISO400 135 film : Lens f = 32 mm F = 10 plastic lens sheet
Shutter speed : 1 / 140 seconds
Shooting distance range : 1 m ~ infinity
Finder Reverse : Galilean plastic Finder
Flash : Built-in (effective shooting distance: 1 m ~ 3 m) pilot lamp with sliding Flash switch
Battery : 4 type AA 1.5 V alkaline batteries built-in
Dimensions : W 108.0 × 54.0 H x D 34.0 mm
ถ้าตามนี้แปลว่า ถึงจะเป็นฟิล์ม 400 แต่ล็อก f stop กับ speed ไว้ที่ f10 – 140 s แบบนี้ ถ่ายในที่ร่มไม่น่ารอดแน่ๆถึงว่ามีแฟลชมาให้ ด้วย
มาดูที่กล้องกัน
ด้านหน้ากล้องจะเห็น เลนส์กับ แฟลช และตัวเปิดแฟลช ที่เป็นตัวเลื่อนขึ้น ถ้าไม่เลื่อนตัวนี้ขึ้นแฟลชก็จะปิดตามปกติ
ด้านบนเป็น ปุ่มชัตเตอร์ ตัวบอกจำนวนฟิล์มแสดงเป็นตัวเลขแบบถอยหลังนะครับ และในกรอบสี่เหลี่ยมสีดำนั้น เป็นแท่งพลาสติกใสที่จะเด้งขึ้นมาแสดงแสงไฟ เวลาเปิดแฟลชครับ
ด้านหลัง จะเป็นตัวเลื่อนฟิล์ม , ช่องมองภาพ และคำอธิบายวิธีใช้ง่ายๆครับ โดยการใช้งานก็เริ่มจากเลข
1 2 3 4 ตามลำดับ ง่ายมากๆ
ด้านล่างไม่มีอะไรครับ มีบอกวันหมดอายุตรงนี้
อ่ะพอรู้วิธีแล้วก็ลองใช้เลยละกัน เริ่มจาก สถานการณ์กลางแดดแบบเปรี้ยงๆกันก่อน
สำหรับผมแล้วภาพออกมาดีกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ มุมของเลนส์สามารถเก็บภาพได้ครอบคลุมดี และค่อนข้างตรงเวลาเรามองผ่านช่องมองภาพ เห็นในกล้องยังไงภาพออกมาประมาณนั้นเลย น่าจะเหมาะกับการถ่ายภาพแบบมาเป็นหมุ่คณะ แล้วชัดทุกคน ส่วนในเรื่องสีสันผมว่าก็ยังเห็นสีเขียวๆเล็กน้อยตามสไตล์ Fuji นะครับ ความคิดเห็นส่วนตัวผมว่าผ่านนะครับ
ต่อไป เข้าร่มกันบ้าง แบบไม่เปิดแฟลช ลุ้นระทึก
ภาพแรกในร้านกาแฟ มีแสงธรรมชาติเข้ามาทางหน้าต่างในร้านเปิดไฟอ่อนๆก็ยังพอดูได้ครับ
ฮึบ พอย้ายมุมเข้าในร้านแสงไฟอ่อนๆปุ้บ …….จบเลย มืดตึ้บ อันเดอร์กันไป
ย้ายไปอีกร้าน สภาพแสงธรรมชาติมีไฟในร้านพอสว่างๆ
อ่ออันนี้ให้ดูครับ ลืมไป เค้าบอกระยะโฟกัส 1 เมตร นี่เล่นถ่ายแบบ จ่อๆเลย เบลอซิครับท่าน
อันนี้ก็ลืม ไปชัดข้างหลังนู้นนนน
จริงๆ 1 เมตรก็กะง่ายๆครับ อะไรยื่นมือไปแล้วจับถึง นั่นน้อยกว่า 1 เมตรแน่นอน ควรถอยหลังอีกนิดถ้าจะถ่ายวัตถุชิ้นนั้นครับ
สรุปแสงน้อยแล้วไม่เปิดแฟลชนี่ยับเยินพอสมควรครับ
อ่ะแล้วถ้าเปิดแฟลชล่ะ มันจะดีขึ้นไหม
ถ้าเปิดแฟลชแล้วได้ภาพแน่แน่ครับ แต่อาจจะไม่สวยเท่าแสงธรรมชาติที่จะซอฟกว่า
ภาคของภาพที่ออกมามีประมาณนี้นะครับ คราวนี้มาถึงคำถามที่ผมเจอมากับตัวเอง คือมีน้องคนนึงมาถามว่า ทำไม มันถึงเรียกกล้องใช้แล้วทิ้ง หรือกล้องใช้ครั้งเดียว ราคาตั้ง 300 กว่าบาท ทิ้งแล้วเสียดายเอามาใช้ใหม่ไม่ได้เหรอ ผมเองก็อยากรู้ครับว่ากล้องมันทำไมถ่ายได้ครั้งเดียว
เออลืมบอกไปครับว่าถ่ายรูปหมดแล้ว ต้องเอากล้องไปให้ที่ร้านเค้าถอดฟิล์มออกนะครับ เรามาแกะเองผมว่าไม่น่าจะรอด ตอนผมไปล้างรูปก็เอาไปให้ที่ร้านทั้งกล้องนั่นแหละ แต่เสียดายเลยบอกที่ร้านว่าขอกล้องกลับมาด้วยนะ พอได้มาปุ้บ ก็แงะเลย
ผมต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยนะครับว่าอย่าทำตามผม อย่าแงะเองแบบนี้ มันมีเหตุผลครับลองอ่านดู
เริ่มต้นผมเริ่มแกะติ๊กเกอร์ที่แปะกล้องออกก่อน
จากนั้นลองแงะฝาหน้าออก
เครื่องในประมาณนี้
ยัง ยังไม่หยุด แกะต่อจนเจอแผงวงจร และเห็นถ่านไฟฉาย
จากในรูปจะเห็นแผงวงจรและที่ใต้แฟลชจะเห็นถ่านสั้นๆอีก 1 ก้อนครับ สำหรับยิงแฟลชโดยเฉพาะ ไอ้ก้อนแรกผมว่าน่าจะแค่ถ่านสำหรับไฟสัญญาณแฟลชและเลี้ยงไฟอื่นๆ
และขณะกำลังจะงัดออกมาดูถ่านใต้แฟลช มือผมก็ไปจับกับแผงวงจรเข้า เท่านั้นแหละครับ หมาที่บ้านตื่นเลย!!! นั่นเพราะเค้างงว่า ผมจะร้องเสียงดังทำไม
คือไม่ร้องได้ไง ไฟดูดครับ คือ ดูดเลย เท่านั้นแหละครับผมรู้ทันทีเลยว่าทำไมมันเป็นกล้องที่ใช้แล้วทิ้ง พอดูที่ด้านหลังกล้องเค้าเขียนติดไว้หลายคำแต่มีคำนึง danger …!!!
ผมเลยขอออกตัวเตือนนะครับว่า “อย่าแงะ” เอาเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะปกติมันก็ปลอดภัยอยู่แล้วสำหรับคนที่ ไม่ซนแบบผม แต่ทางที่ดีใช้เสร็จ ถ่ายรูปเก็บไว้แล้วก็ทิ้งไปก็ดูจะเซฟๆดีครับ
พูดถึงเรื่องระบบฟิล์มนิดนึง กล้องตัวนี้เท่าที่ผมดู เค้าใช้วิธียังไงไม่รู้ ปกติเราจะมีแผ่นฟิล์มอยู่ในกลัก แล้วพอถ่ายเสร็จ ฟิล์มจะไปม้วนอยู่ในแกนอีกฝั่ง นั่นเลยทำให้เราต้องกรอฟิล์มกลับเข้ามาในกลักตอนถ่ายหมด แต่กล้องตัวนี้ไม่มีตัวกรอฟิล์ม ผมเลยเดาว่า เค้า เอาฟิล์มมาม้วนไว้นอกกลักก่อน โดยใส่ไว้ในตัวกล้องแบบมิดชิด พอเราขึ้นฟิล์มเพื่อจะถ่ายรูป นั่นแหละ จะเป็นการเลื่อนฟิล์มกลับเข้าไปเก็บในตัวกลัก ทันทีโดยไม่ต้องกรอ
ก็มีประมาณนี้นะครับสำหรับการรีวิวกล้องใช้แล้วทิ้งตัวนี้
สรุปสั้นๆนะครับว่า
กล้องตัวนี้น่าจะเหมาะกับคนที่อยากจะลองอะไรใหม่ๆ และก็ง่ายๆ เพราะมันเป็นกล้องที่สะดวกไม่ต้องตั้งค่าอะไรเลย ภาพออกมาดีเลยแหละถ้าถ่ายในที่แสงเยอะๆ มีระยะคมครอบคลุมทั้งภาพ เพราะล็อก ไว้ที่ f 10. เลนส์มีมุมกว้างเก็บได้ครอบคลุมดีครับ แต่ข้อเสียคือ ถ่ายในที่ร่มหรือแสงน้อยออกมาไม่ดีเลย แนะนำว่ายังไงก็ต้องเปิดแฟลชครับในที่ร่มและช่วงเวลาเย็น-กลางคืน
สุดท้ายถามว่าคุ้มไหม จ่าย 300 กว่าบาทแล้วได้ 39 รูป พร้อมกล้องพร้อมแฟลช ส่วนตัวผมขอตอบว่า “คุ้มครับ” ถ้าภาพนั้นมีความหมายกับคุณ และมันออกมาทำให้เรายิ้มได้
ในอนาคตผมว่า ผมจะลองอีกซักครั้งครับ เพราะรู้แล้วว่าต้องถ่ายยังไงถึงจะเหมาะ และครั้งต่อไปที่ใช้กล้องนี้เสร็จ ผมสาบานว่าจะไม่แงะมันเด็ดขาดครับ
]]>ผมนั่งตุ๊กๆไปกับภรรยา ขึ้นจากหัวลำโพงไปเมก้าพลาซ่าแถวๆสะพานเหล็ก ตอนไปถึงห้างยังไม่เปิดเลย เลยต้องแวะกิน Mc กันก่อน พออิ่มท้องก็ทันห้างเปิดพอดี เราเดินไปที่ชั้นขายกล้องฟิล์ม เดินดูอยู่หลายร้าน วนไปวนมาจนคนขายจำหน้าได้แล้ว ผมกับภรรยาก็ตกลงใจเลือกกล้องดีดีได้ตัวนึง
NIKON FM2
ผมชี้ไปที่กล้องฟิล์ม Nikon FM2 ที่อยู่ในตู้กระจก คนขายถามว่าตัวไหนคะ เพราะมันมีแต่ FM2 ทั้งตู้เลย ผมเลยขออนุญาตหยิบเอง ลองใส่ถ่านลองวัดแสงลองชัตเตอร์ลองทุกอย่างจนแน่ใจว่า “นี่แหละใช่เลย” จากนั้นก็เดินไปโดนเลนส์ Nikkor 50 f1.4 อีกร้านนึง ประกอบร่างเสร็จ ออกทริปในวันนั้นเลย
ทำไมต้อง Nikon FM2 เหรอครับ ผมเล่าให้ฟังนะ แต่เอาเป็นว่าอย่าถือว่าเป็นการรีวิวเลยครับ เป็นการเล่าให้ฟังง่ายๆละกัน บ้านๆ
เอาตรงๆนะฟังคนอื่นพูดมาเค้าบอกว่า เนี่ยกล้องดีกล้องเทพระดับตำนาน นู้นนี่นั่น ก็ไม่รู้อะไรมากหรอกครับ จนพอวันนั้นได้ไปดูไปจับ จึงเข้าใจว่าทำไมมันถึงเป็นกล้องที่หลายคนบอกว่ามันดี
ในส่วนของประวัติกล้องนั้นมันค่อนข้างจะยาวครับ ใครสนใจลองไปหาอ่านได้จากเว็บไซท์ wiki นะครับ เอาเป็นว่าผมขอคุยเรื่องการใช้งานมันแทนก็แล้วกันครับ
ว่าด้วยเรื่องบอดี้ภายนอกนั้น ดีไซน์แบบนี้สำหรับผมคิดว่าหลงรักกันง่ายๆเลย ดูเรียบร้อยเรียบง่าย แต่แฝงความแมนเอาไว้ การจับถือเต็มไม้เต็มมือแน่นอนครับ เรื่องน้ำหนักก็หนักเอาเรื่องอยู่แต่ผมชอบตรงมันให้ความรู้สึกที่ดีในการใช้ครับ ไม่เบาหวิวหรือดูป็อกแป็กเลย
เรื่องความแข็งแรงผมบอกไม่ได้ครับ ไม่เคย Drop test ๕๕๕ แต่เท่าที่ใช้มาก็ไม่ต้องทะนุถนอมอะไรเลยครับ ลุยให้สุดๆไปเลย
การใช้งานนั้นก็ตรงไปตรงมาครับ คือมันเป็นเบสิคการถ่ายภาพเลย ผมว่าใช้สอนนักเรียนได้ดีเลยทีเดียว การถ่ายภาพด้วยกล้องนี้ก็คือแมนนวลเต็มระบบ ผู้ใช้ต้องตั้งค่าเองทุกอย่าง ตั้งแต่ iso > f stop > speedshutter โดยที่ด้านบนของกล้องจะมีแป้นหมุนเพื่อปรับ iso และ speedshutter อยู่ในแป้นเดียวกัน ส่วน f stop ปรับที่วงแหวนบนเลนส์ครับ ข้างๆกันนั้นเป็นปุ่มชัตเตอร์ ที่สามารถต่อสายลั่นชัตเตอร์ได้ ถัดไป เป็นตัวเลื่อนฟิล์มซึ่งกล้องรุ่นนี้สามารถถ่ายภาพซ้อนได้ โดยใช้คันโยกเล็กๆเหนือตัวเลื่อนฟิล์ม และในกรอบตัวเลขเล็กๆคือจำนวนฟิล์มที่ถ่ายไปครับ
ที่ด้านหลังก็จะมีช่องมองภาพแบบวงกลม มองแล้วภายในกว้างสบายตามากๆ มี slot ใส่กล่องกระดาษฟิล์มด้วยนะจะได้รู้ว่ากำลังใช้ฟิล์มรุ่นอะไรอยู่
ที่ด้านหน้าเป็นตัวตั้งเวลาถ่ายครับเป็นคันโยกเล็กๆ
ที่ด้านล่างเป็นปุ่มกดเพื่อใช้ตอนกรอฟิล์ม และที่ใส่ถ่านอยู่ด้านล่างนี้ครับ ใช้ถ่าน 2 ก้อน เพื่อใช้ในการวัดแสง ถ้ากรณีถ่านหมดกล้องก็ยังทำงานถ่ายภาพได้ตามปกตินะครับ แต่จะต้องใช้ประสบกาณ์ในการวัดแสงเอาเอง ๕๕๕
โดยรวมๆผมว่าเป็นกล้องที่ใช้ง่ายดีครับ ตรงไปตรงมา ถ้าเข้าใจเรื่อง f stop เรื่อง speed shutter จะยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่ แต่อาจจะมีข้อเสียสำหรับคนที่ไม่เคยใช้กล้องฟิล์มครับ เพราะไม่มีหมวด auto ส่วนตัวแล้วผมว่ากล้องรุ่นนี้ยังหาได้ง่ายๆครับ ราคาก็ตามสภาพเลย มีทั้งที่ใหม่กริปๆสภาพนางฟ้า จนถึงแบบผ่านสงครามโลกมาแน่นอน 1 ครั้ง และที่ต้องทำความเข้าใจคือกล้องที่เก่าขนาดนี้น่าจะมีปัญหาเรื่องการวัดแสงครับ ตัวที่ผมได้มามันวัดแสงเพี้ยน คือโอเวอร์ไปเกือบ 2 stop ตอนแรกถ่ายออกมาวัดแสงพอดี คุณพระ!!!ไปล้างฟิล์ม สว่างยังกะโอโม่ แต่เคยถามช่างซ่อมกล้องเค้าบอกมันสามารถแก้ไขได้ครับ แต่พอดีผมชินแล้ว เลยชดเชยแสงเผื่อเอาไว้ล่วงหน้าครับ
ง่ายๆคือเชียร์ครับกล้องตัวนี้ใช้ดีจึงบอกเพื่อน
ใครโดนมาแล้ว ได้มาแต่ตัวกล้อง ไม่มีคู่มือ ก็ลองอ่านจากไฟล์นี้ดูครับ เป็นคู่มือภาษาอังกฤษ
คู่มือ Nikon FM2
ลองไปดูรูปจากกล้องและเลนส์ตัวนี้ดูประกอบการตัดสินใจนะครับ
การถ่ายภาพด้วยฟิล์มสนุกครับ และจะสนุกยิ่งขึ้นถ้าเรามีกล้องที่เราไว้ใจได้ และคนที่เรารัก ร่วมทาง
]]>กล้องฟิล์มตัวแรกที่ผมหลงรักหัวปักหัวปำคือ Nikon FM2 ครับ ได้ลองจับลองใช้แล้วรู้สึกดีไปหมด ไปเที่ยวไหนพาไปด้วยตลอด และก็ชอบเลนส์ที่ใช้คู่กันมากด้วย คือเจ้า 50 f1.4 จับคู่กันแล้วถ่ายสนุกมาก และส่วนตัวผมไม่ค่อยชอบเปลี่ยนเลนส์อะไรมากมาย เลยไม่ได้ซื้อเลนส์ช่วงอื่นๆเพิ่ม ก็จัด 50 มม. ตัวนี้มาตลอด
แต่เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย นั่นคือถ้าไปกับกล้องตัวนี้ผมมักจะถ่ายภาพวิว หรือ ภาพ interior ภายในอาคาร ไม่ค่อยได้ คือจริงๆถ่ายได้แหละครับ แต่มันเก็บไม่หมด ต้องถอยกันจนชิดผนังเลยทีเดียว
LOMO LC-Wide
แล้ววันนึงผมก็ได้พบกับกล้องตัวต้นเรื่องนี้ นั่นคือ LOMO LC-Wide ได้เห็นภาพถ่ายตัวอย่างจากกล้องตัวนี้หลายรูป รู้สึกใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เงินในกระเป๋าสั่นพั่บๆๆๆขึ้นมาเลยทีเดียว มีโอกาสไปจับของจริง ลูบคลำ แนบตาอยู่หลายวัน จนในที่สุดมันก็มาตั้งบนโต๊ะที่บ้านแบบไม่รู้ตัว
ผมขอข้ามเรื่องราคาค่าตัวของกล้องรุ่นนี้ไปเลยนะครับ เพราะตอนซื้อจำได้ว่าลดราคาแต่จำไม่ได้ว่าโดนมาเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับเพชรก็ต้องบอกว่า แพงระยิบระยับเลยทีเดียว
อ่ะใจเย็นๆมาดูประวัติศาสตร์ของเค้ากันนิดนึง
โลโม่ มีประวัติยาวนาน มีที่มาที่ไปที่ไม่ธรรมดาและยาวเหยียด ถ้าอยากอ่านรายละเอียดก็กดตรงนี้
LOMO History
จะสรุปสั้นๆ ว่า กล้องโลโม่ คือกล้องฟิล์มคอมแพคที่กำเนิดในรัสเซีย สีสันจัดจ้าน ย้ายออกจากบ้านมาอยู่ออสเตรีย ปัจจุบันจำหน่ายโดย LOMOGRAPHY และ เมดอินไชน่า
กล้อง LOMO มันมีหลายตัวมากนะครับ ที่ โดดเด่นมากๆคือ รุ่น LC-A ส่วนรุ่น LC-Wide เป็นกล้องรุ่นน้องที่มีบอดี้คล้ายกัน แตกต่างกันตรงเลนส์ที่ไวด์หรือกว้างกว่ามาก
กล้อง LOMO LC-Wide ทำไรได้บ้างมาดูกัน
1. กว้างงงงงงงง
เอกลักษณ์ของกล้องรุ่นนี้คือติดเลนส์ไวด์มาในขนาด 17.mm คือแบบกว้างสาหัสสากันมาก ลองดูภาพที่อะฟิล์มถ่ายไว้ครับ
คือถ่ายภาพในห้อง ในอาคาร หรือที่แคบๆนี่เก็บหมดแบบสบายๆเลย
2. ถ่ายได้หลายรูปแบบ
เป็น อีกหนึ่งเหตุผลเลยครับที่เลือกซื้อกล้องตัวนี้ นั่นคือมันถ่ายภาพได้หลายแบบ โดยใช้อุปกรณ์เสริมที่แถมมาด้วยใส่เข้าไปก่อนใส่ฟิล์ม
– ภาพแบบเต็มเฟรม : ถ่ายแล้วภาพจะเต็มเฟรม ของฟิล์มทำให้ภาพที่ได้กว้างสะใจสุดๆ
อันนี้ถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์ล้างแบบครอสโปรเซส ภาพเลยยิ่งสีจัดเข้าไปใหญ่ (คลิ้กแต่ละภาพเพื่อดูภาพใหญ่)
อันนี้ถ่ายด้วยฟิล์มสีธรรมดา
-ถ่ายภาพแบบครึ่งเฟรม : คือกล้องสามารถที่จะบันทึกภาพสองภาพลงในฟิล์ม 1 ใบได้ นั่นคือ ฟิล์มขนาด 135 แบบ 36ภาพสามารถถ่ายได้ 72 ภาพเลยทีเดียว
ภาพจะออกมาเป็นรูปแบบประมาณนี้ครับ คือจะมีเส้นเฟรมดำๆคาดระหว่างรูป ที่เห็นนี่คือ ถ่ายสองทีแต่บันทึกลงฟิล์ม 1 ใบนะครับไม่ได้เอามาตัดต่อ
และบางทีก็จะออกมาเหลื่อมๆกันบ้าง สำหรับผมไม่ซีเรียสครับ
อ่ะลองดูรูปอื่นๆแบบครึ่งเฟรม
นอกจากแบบเต็มเฟรมและครึ่งเฟรมแล้วยังสามารถถ่ายแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสได้ด้วย แต่เสียดายผมยังไม่เคยลองใช้เฟรมแบบนี้เลยครับ เลยไม่มีภาพให้ดู
ลืมบอกครับว่า การที่จะถ่ายแบบเต็มเฟรม หรือครึ่งเฟรม หรือ สี่เหลี่ยมจัตุรัสนั้น เลือกแบบไหนไว้ต้องถ่ายแบบนั้นให้จบม้วนครับ ไม่สามารถสลับได้
3. ถ่ายแบบ Multi Exposure ได้
นั่นก็คือการถ่ายภาพซ้อนนั่นเอง กล้องตัวนี้ทำได้ครับ
4. เออใช่ ถ่ายเซลพี่ได้นะ
ฮ่า ฮ่า ฮ่า คือเลนส์มันไวด์ไง เซลฟี่ได้แน่นอน
อันนี้แกะยืมกล้องไปถ่ายเซลฟี่ แน่ะ มียิ้มด้วย
ผมจะลองสรุปข้อดีข้อเสียจากการที่ได้ลองใช้มาให้ฟังนะครับ
ข้อดี
– ภาพไวด์ กว้างสะใจ เก็บหมดแน่นอน
– คือเบามาก ใส่กระเป๋ากางเกงหรือถือในมือแบบสบายๆเลย
– กล้องมีการปรับตั้งค่าน้อยมาก ปรับ isoให้ตรงกับฟิล์ม , ปรับระยะโฟกัส มีสองระยะ คือ 40-90 ซม. กับ 90-อินฟินิตี้ (วัดง่ายๆเอื้อมมือไปแตะไม่ถึง ก็ปรับเป็น 90-อินฟินิตี้) แล้วพอมันปรับน้อยกล้องมันก็เลือกสปีดชัตเตอร์ให้เราเอง เรียกว่าถ่ายแบบไม่คิดมากเลย ถ่ายๆไปเถอะอะไรแบบนั้น มันดีคือ เรามีเวลาเพิ่มขึ้นในการใช้เวลากับสิ่งรอบข้าง ไม่ใช่มานั่งถ่ายรูปกันอย่างเดียว
– ถ่ายได้หลายแบบ นี่มันเยี่ยมจริงๆ
ข้อเสีย
– โคตะระแพง
– บริโภคถ่าน 3 ก้อน ต้องมีสำรองกันนิดนึงนะ
– เนื่องจากถ้าถ่ายเต็มเฟรมแล้วภาพที่ได้มันจะกว้างมาก บางทีมันกว้างจนติดนิ้วเรามาด้วย เพราะฉะนั้นเวลาถือกล้องตอนถ่ายจะจับแบบเต็มไม้เต็มมือไม่ค่อยได้ ไม่เชื่อดูรูป ขวามือล่างๆนั่นแหละนิ้วป๋มเอง
อ่ะก็มีประมาณนี้นะครับสำหรับกล้องตัวนี้ เป็นรีวิวกล้องที่มีรูปกล้องแค่รูปเดียวจริงๆ บ้าที่สุด
เอาเป็นว่าอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมลองเข้าไปดูในนี้นะ
LOMOGRAPHY LOMO LC-Wide
สำหรับผมนะคิดว่านอกจากเรื่องภาพถ่ายที่จะได้จากกล้องนี้แล้ว หลายๆครั้งมันก็ให้เรื่องแนวคิดด้วย ชิวิตบางทีก็ได้ความสุขมาง่ายๆ นั่นคือการไม่ต้องคิดมากนั่นเอง ถ่ายๆไปเถอะ สนุกกับมันก็พอ
ขอบคุณมากครับ