ไปเยือนซักครา เมกากับกล้องฟิล์ม-ตอนที่ 1

สหรัฐอเมริกา  ที่ผมขอเรียกสั้นๆว่า "เมกา" เป็นประเทศที่ผมอยากไปเยือนซักครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า  “ธรรมชาติน่าชม”  คือไม่เคยอยากไปเที่ยวชมเมืองหรือดูผู้คนอะไรเลย  แต่การไปเมกาคราวนี้ด้วยจำเป็นต้องไป  คือมีธุระที่ต้องไปทำที่เมืองไมอามี่  ก็เอาวะไปขอวีซ่าได้มา 10 ปี  งั้นเก็บกระเป๋าออกเดินทางกันเลยดีกว่าไม่อยากคิดมากแล้ว

ล้อหมุนหลังสงกรานต์  16 เมษา 61 เดินทางด้วยเที่ยวบินแบบประหยัด  และแบบประหยัดนี่คือ  กว่าจะถึงเครื่องบินก็ต้องแวะนู้นนี่นั่นให้เปลืองเวลาเล่น   การเดินทางจึงเป็นแบบนี้ครับ

กทม > ฮ่องกง > ซานฟราน > ไมอามี่

บินกันยาวนานสุดๆ  รวมที่แวะพักด้วยก็เป็นวันละครับ  อ่อลืมบอกว่าระยะเวลารวมของทริปนี้คือ 20 วันครับผม

ในส่วนของกล้องฟิล์ม  ผมตัดสินใจเอามา 2 ตัว คือลูกรัก Nikon FM2 และ Lomo LC-Wide คือกะว่าจะเอา FM2 ถ่ายเป็นหลัก  แล้วเอา Lomo พกง่ายๆถ่ายคล่องๆมาถ่ายเสริม  ในส่วนของฟิล์มนั้นจัดมา 24 ม้วน แต่ถ่ายไปจริงๆทั้งหมด 14 ม้วนถ้วน  ที่ถ่ายได้ไม่เยอะเพราะมันมีอยู่หลายวันที่ไม่มีเวลาจับกล้องเลยครับ  โอเคไปดูกันว่ามันมีอะไรน่าเที่ยวบ้างในทริปนี้

1. Go to Miami

บินจากสุวรรณภูมิด้วยสายการบิน Hongkong มาต่อเครื่องที่ฮ่องกง  แล้วไปลงซานฟราน  แล้วค่อยบินด้วย United ขยับข้ามประเทศไปลงไมอามี่  ช่วงแรกเลยได้ถ่ายแต่สนามบินล้วนๆ

FilmNeverDie IRO 200 
IRO 200

Sunny 16



บางทีรูปจะซ้ำสถานที่หน่อยนะครับ  เพราะดันใช้กล้องพร้อมกันสองตัว

มาไมอามี่คราวนี้มาพักบ้านพี่สาวของภรรยาผม  พี่เค้าจะเปิดร้านอาหารไทยสไตล์อีสาน+ญี่ปุ่น (เป็นสไตล์ที่งงพอควร) อยู่ในเมือง Kendall  ทำให้ใช้ชีวิตในเมกาส่วนใหญ่อยู่ในเมืองนี้นี่เอง  ไปครับไปดูชาวบ้านชาวเมืองแถวนี้กัน

Sunny 16

เป็ด  เป็นชาวบ้านแถวนี้ครับ  คือเดินกันให้ว่อนหมู่บ้านเลย  เวลาไปไหนมาไหนก็จะพ่วงลูกๆกันไปด้วย  ผมถามพี่สาวว่าทำไมเยอะจังเลยเป็ด  พี่สาวบอกไม่รู้  รู้แต่ว่าเมืองนี้ประกาศว่าเราสามารถจับเป็ดมากินได้แบบถูกกฏหมาย 1 เดือนต่อ 1 ตัว.............งั้นผมขอกินมาม่าละกัน  ใครจะไปกินลงไม่ใช่เอ็มเคนะครับ

ไมอามี่เป็นเมืองที่แดดโคตรแรงครับ   แต่อากาศกลับดีมาก  คือร้อนแดดนะแต่มันจะเย็นๆไปด้วย  อุณหภูมิก็จะอยู่ประมาณ 24 25 26 27 อะไรเงี้ย ฟ้านี่ใสๆเลย  ถ่ายรูปออกมาน่าจะแจ่ม

Sunny 16




พี่สาวพามาเดินห้างครับ  มาที่นี่เข้าห้างถี่มากๆเพราะว่าต้องออกมาซื้อของบ่อยๆ  แล้วในเมืองนี้ห้างเค้าจะไม่ค่อยเหมือนกับที่บ้านเรา  เวลาเราอยู่บ้าน  อ่ะไปเดอะมอลล์ ไปเซ็นทรัล มีทุกสิ่งให้เลือกสรร  แต่ห้างที่นี่เค้าจะเป็น mall มีที่จอดรถใหญ่ๆ  มีร้านค้าหลายร้านตั้งเป็นตึกๆแยกกันออกไป  คือมันลำบากตรงบางทีมาซื้อสว่านต้องเข้าร้านนี้  เสร็จละอยากจะซื้อยา  ต้องออกจากตึกนี้ไปอีกตึกนึง   เอ้า!!!   บาง mall มีร้านขายยาแต่ไม่มีธนาคาร  ต้องย้ายไป mall ใหม่ ขับรถกันออกไปอีกหลายไมล์กว่าจะเจอ  เสียเวลาไปกับการเดินห้างเยอะทีเดียว  

Sunny 16  



เนี่ยหลานสาวผม   อีกเหตุผลที่อยากมาเมกาคืออยากมาเจอหลานสุดที่รัก  สุดแสบคนนี้

Sunny 16

 

แล้วหลานผมก็พามาเที่ยวโรงเรียน   ผมเลยเอากล้องไปขอถ่ายเด็กๆเพื่อนๆหลานอีก   น่ารักกันทุกคน

Sunny 16

 

แล้วที่ไมอามี่นี่ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่ามีคนสเปนอยู่เยอะมาก  แม้แต่ป้ายราชการยังต้องมีภาษาสเปนกำกับควบกับภาษาอังกฤษ  พอเข้ามาในโรงเรียนหลานนะ  อะโหวววว  คุณครูเป็นคนสเปนล้วนๆสอนนักเรียนด้วยภาษาสเปน   ผมไม่แปลกใจเลยที่บางทีได้ยินหลานพูดคำศัพท์ที่ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร ๕๕๕๕

Sunny 16

 

2. Buffalo

หลังจากปรับตัวปรับเวลาที่ไมอามี่ได้วันสองวัน   ชาวแกงค์คนไทยก็อยากจะออกตะลุยทัวร์เมืองอื่นกันทันที  โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เมือง Buffalo เป็นอันดับแรก  กะจะไปดูน้ำตก Niagara อันโด่งดังกันซะหน่อย เอ้าไปก็ไป

ก็พากันขึ้นเครื่องบินจากไมอามี่ไปลงสนามบินแถวๆนิวเจอร์ซีย์ครับ

FilmNeverDie IRO200

Sunny 16

 

แล้วเช่ารถขับต่อไปอีกกี่ไมล์ไม่รู้   แต่จำได้ว่าราวๆ 600 กม.   แล้วคุณพระ!!  ขับรถประเทศนี้พวงมาลัยอยู่ซ้ายยยยย โคตรจะเกร็งตลอดการเดินทาง

Sunny 16

 

ยิ่งขับเข้าใกล้เมือง Buffalo เท่าไหร่อากาศก็ยิ่งหนาวขึ้นเท่านั้น  ทำให้พวกเราต้องจอดรถหาอะไรร้อนๆกินบ่อยมาก  และนี่ก็อีกที่  เซเว่นเพื่อนยาก  ชอบมากในเซเว่นมีพิซซ่าร้อนๆถาดเบ้อเร่อขายด้วย

Sunny 16

 

ระหว่างทางเจอรถโรงเรียนสีสดๆขอถ่ายหน่อยยยย

FilmNeverDie IRO 200 


Sunny 16

 

เนี่ยห้างต่างๆที่ผมบอก

FilmNeverDie IRO 200

 

ขับต่ออีกนานมากกว่าจะมาถึงโรงแรมที่พัก  บนห้องพักวิวดีมากๆเห็นทุกอย่างในเมืองเลย ยกเว้นน้ำตก !!!

Sunny 16

 

พอเช้าปุ้บรีบเลย  รีบออกไปหาน้ำตกดูกัน   แต่เช็คสภาพอาการแล้ว.....เฮ้ย   นี่มันตู้เย็นชัดๆ ศูนย์องศากันเลยทีเดียว  พวกเราเลยต้องแต่งกายให้รัดกุมหน่อย

แต่ละคนดูหน้าตาแจ่มใสร่าเริง  แต่ที่เห็นยิ้มๆนี่คือปากสั่นอยู่นะครับ  ผมเองไม่มีถุงมือ   ตอนที่กดชัตเตอร์นี่คือมือชาจนไม่รู้สึกเลย  ยิ่งเมื่อคืนตอนมาถึงหิมะเริ่มตกเป็นเกล็ดเล็กๆ  มีนักท่องเที่ยวบางท่านถึงกับวิ่งอ้าปากมากินหิมะเลยทีเดียว     สุดท้ายไข้แดกสิครับ

FilmNeverDie IRO 200

 

สภาพแสงโคตรอึมครึมเลยครับ  แต่เฮ้ยมันสวยแบบแห้งๆหนาวๆ  ประหลาดแบบไม่เคยรู้สึกมาก่อน

FilmNeverDie IRO 200 

 

เพิ่งเคยเห็นหิมะตัวเป็นๆครั้งแรกครับ  อร่อยมาก   เฮ้ยห้ามกิน !!!

FilmNeverDie IRO 200 




ถ่ายจนหมดม้วนเพิ่งรู้ตัวว่าลืมเอาฟิล์มลงมาจากรถ  เลยต้องวิ่งฝ่าความหนาวกลับไปเอาฟิล์มอีกรอบ  คราวนี้ถึงทีของ Agfa จ้า

ชาวบ้านเค้าเดินไปไหนกันหมดแล้วก็ไม่รู้  ผมก็เดินหลงๆอยู่คนเดียว  แต่นัดกันไว้ว่าเจอกันตรงน้ำตกใหญ่ๆที่สุดทางเลย  และทุกขณะที่เดินไปก็จะได้ยินเสียงน้ำที่ไหลแรงและดังมากๆ  

Agfa Vista plus 400

 

เกือบถึงละ  อีกนิดๆ

Agfa Vista plus 400

 

มองไปไกลๆจะเห็นตึกฝั่งแคนาดา   จะบอกว่าจริงๆเมื่อคืนก็มาตรงนี้กันแล้วครั้งนึง  แต่ว่ามันไม่สามารถจะยกกล้องขึ้นมากดได้   เพราะมันหนาวจนร่างกายทนไม่ไหวจริงๆ ได้แต่ดูตาเปล่า   ตอนกลางคืนฝั่งแคนาดาจะเปิดไฟสีๆสาดมาที่น้ำตกด้วยครับ สวยดี

Agfa Vista plus 400



ถึงแล้ว  น้ำตก Niagara ใหญ่โตโอเชี่ยนมากๆ

Agfa Vista plus 400

 

ข้ามไปก็แคนาดาละ

Agfa Vista plus 400

 

หวัดดี  นายไม่หนาวเหรอ

Agfa Vista plus 400

 

พอๆไม่ไหวหนาวจนทำอะไรไม่ได้เลยขอย้ายที่ก่อน  เราทั้งหมดรีบกลับไปขึ้นรถที่จอดเอาไว้     เพราะว่าดันไปจอดแบบเสียตัง  คนไทยมาอยู่เมกาส่วนใหญ่ที่ผมเจอมา   จะเรียกเงินเหรียญดอลล่าร์เป็นเงินบาท  เช่น 100 $ ก็เรียก 100 บาท   ผมถามพี่สาวว่าค่าที่จอดรถเท่าไหร่พี่  เค้าบอก  2 บาทเอง.........อืม โดนไป 60 บาทนี่หว่า

Agfa Vista plus 400

 ในส่วนของน้ำตก Niagara มีพิกัดประมาณนี้ครับ

 

 

3. NEW YORK

หลังจากออกจาก Buffalo  ก็บึ่งรถกลับมาคืนที่ New Jersey ที่สนามบิน Newark   ผลปรากฎว่าบึ่งมาไม่ทันเสียค่าปรับให้บริษัทรถเช่าอีก !!!   พอคืนรถเสร็จก็เหนื่อยกันต่อ   เนื่องจากว่าต้องรีบเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมใน New Jersey ซึ่งก็จองของ Air BNB ไว้

ทำไงล่ะ   คืนรถแล้วจะไปที่พักยังไง   พี่สาวคิดได้ควักมือถือเรียก Uber ทันที   เราได้พี่ดำขับรถมารับ  เบรคเอี๊ยด  ขึ้นรถ  บึ่งพรวดถึงที่พักอย่างรวดเร็ว   ถ้าตอนนั้นใครผ่านมาจะเห็นสภาพซอมบี้ไทย 5 คนเดินโงนเงนเข้าอาคาร กระเป๋าคนละใบสองใบ มีพิซซ่ากล่องใหญ่ที่เหลือมาจากเซเว่นอีกตะหาก  

New Jersey ในคืนนั้นลมแรงในระดับที่สามารถพัดพิซซ่ากล่องดังกล่าวขึ้นไปชั้น 30 ได้ใน 6 วิ   พวกเราพาร่างขึ้นไปถึงห้องพัก  มีสาวจีนพูดอังกฤษเดินออกมารับเรา   เราเปิดประตูเข้าไปดู  ผ่างงงงงง

สถาพคือมันเป็นห้องนึงในคอนโดที่อีหมวยคงซื้อไว้  แล้วซอยห้องง่ายๆแบ่งให้คนอยู่  ปกติเวลาเราถึงที่พักเรามักจะรีบถ่ายรูปห้องแบบว่า เฮ้ยนู้นก็สวย  นั่นก็น่ารัก  แต่ที่นี่ไม่ครับ   ไม่มีอะไรตรงกับภาพที่เห็นในเว็บ Air BNB เลย  นึกในใจ  เราคงจะเจอโฟโต้ช็อปหลอกแล้วล่ะ  

ทุกคนพากันแย่งห้องน้ำ  อาบน้ำแล้วรีบเข้านอน   เพราะว่าวันรุ่งขึ้นเราต้องรีบบึ่งกันต่อเพื่อข้ามแม่น้ำไปเกาะ Manhattan ของ New York นั่นเอง

รุ่งขึ้นแผนคร่าวๆที่ถูกวางไว้เมื่อคืนถูกกางออก   เราออกเดินทางโดย Uber ไปยังสถานที่นึงใน New Jersey  ที่จะสามารถมองเห็นเทพีเสรีภาพได้โดยที่ไม่ต้องนั่งเรือข้ามไป  สถานที่นั้นคือ Liberty State Park  แต่เนื่องด้วยไอ้สวนนี้มันกว้างใหญ่มาก  จึงต้องเจาะจงลงไปให้พี่ Uber รู้ละเอียดขึ้นอีก  ก็คือเราจะไปยังจุด Flag Plaza  แผนที่ตามด้านล่างนี้ เทพีเสรีภาพเป็นเกาะอยู่ด้านขวาของ Plaza นี้ครับ



ดูเป็นสวนที่มีที่ปิกนิก กินบาร์บีคิวกัน

Kodak Ultramax 400



ตรงนี้ลมแรงจนต้องปิดหน้าปิดตาให้มิดจริงๆครับ  เพราะว่าลมมันหนาวมากๆ หนาวพอๆกับที่น้ำตกเมื่อวานเลย

Kodak Ultramax 400



มองจากลานนี้ออกไปเห็นเทพีอยู่ไกลๆแบบหันหลัง  ด้านข้างซ้ายเป็นเกาะ Manhattan 

Kodak Ultramax 400


ก่อนจะมาก็เฉยๆนะครับ  แต่พอมายืนตรงนี้แล้วก็ประทับใจที่ได้มาเจอเธอจนได้  แต่เจอแบบไกลไปหน่อย

Agfa Vista plus 400 


จากที่ยืนกันอยู่ริมรั้วของลานเลย  ตอนนี้เริ่มขยับออกมาแล้วครับ  เพราะว่ามันลมแรงจริงๆ  คิดว่าคงไม่มีคนไทยขี้หนาวคนไหนสามารถยืนตรงนั้นได้นานๆเป็นแน่

Agfa Vista plus 400 



ยอมแพ้ครับ  ไม่สามารถอยู่บนลานได้จริงๆ  ต้องมายืนหลบลมบนอาคารข้างๆซึ่งมีขุมทรัพย์เลอค่าคือห้องน้ำ  ห้องน้ำนี้ที่ด้านในอุ่นมากและมีที่เป่ามือร้อนๆ  จัดสิครับรออะไร

Agfa Vista plus 400 




อันนี้พยายามถ่ายเมือง New Jersey ให้เห็นน้ำน้อยที่สุด

Agfa Vista plus 400 



แผนต่อไปคือ เรียก Uber มารับเราให้ไปส่งที่สถานีรถไฟ  เพื่อนั่งข้ามไป Manhattan   ซึ่งก็นั่งมาไม่นานเราก็ถึงสนานีรถไฟ Exchange Place และถ้ามองจากตรงนี้จะเห็นตึก One World Trade Center ด้วย

Agfa Vista plus 400 


รถไฟใต้ดินในฝั่ง New Jersey ผมเข้าใจเอาเองว่าเค้าเรียกว่า Path ซึ่งถ้าเป็นฝั่ง Manhattan จะเรียกว่า MTA  สรุปคือเราจะนั่ง Path ที่สถานี Exchange Place ไปขึ้นฝั่งโน้นที่จุดเชื่อมต่อระหว่าง Path กับ MTA เรียกว่า สถานี World Trafe Center

Agfa Vista plus 400 




นั่งข้ามมาที่ฝั่ง Manthattan ในเวลาไม่นานเราก็มาโผล่ที่อาคารหลังนึง  ซึ่งแบบว่าอลังการมากๆ  มามา  ลองไปดูมุมภายในของสถานที่นี้ด้วยเลนส์ 50 มม.ก่อน

Agfa Vista plus 400 


อาคารนี้มีชื่อว่า Westfield World Trade Center   มองดูเส้นสายภายในอาคารแล้วมันช่างเท่ดีจริงๆ ตำแหน่งเค้าอยู่ตรงนี้นะ

มาลองดูมุมกว้างๆจาก Lomo ดูบ้าง

Kodak Ultramax 400


ด้านนอกก็สวยไม่แพ้ด้านในนะครับ

Agfa Vista plus 400 


ด้วยจำนวนคนมากมายที่ World Trade Center เป็นเรื่องยากมากที่จะถ่ายอาคารหลังนี้ให้ไม่เห็นคน  และถ่ายเห็นเต็มอาคารโดยกล้องของคุณติดเลนส์ 50mm.  นี่ก็แทบจะถอยไปถ่ายที่กรุงเทพละ

Agfa Vista plus 400 

พอเปลี่ยนเป็นมุม 17mm. ของ Lomo แล้วดีขึ้นเยอะ กลายเป็นเก็บทุกอย่างมาหมดเลย

Kodak Ultramax 400



อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตอนต้นบทความ  ว่าจริงๆไม่ได้อยากมาชมเมืองของเมกา  แต่อยากชมธรรมชาติมากกว่า  แต่พอมาคิดๆดูก็ไม่เป็นไร  ชมเมืองเค้าให้เข้าใจวิถีชีวิตคนในบ้านเค้าก็ไม่เสียหายอะไร   บวกกับ New York มันก็เมืองใหญ่มาก  ถ้ามองดีๆคงมีอะไรให้ถ่ายรูปอยู่พอสมควร   ก่อนมาที่นี่ผมจึงนั่งลงทำการบ้านซะหน่อย  ก็ไปอ่านเรื่องวิธีขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน   เรื่องการเรียกชื่อถนน   หรือแม้กระทั่งหาพิกัดสถานที่เด็ดๆที่อยากจะไป    

ก็ได้รู้มาว่าใน New York นี่มันประกอบไปด้วยพื้นที่หลายเมือง  ที่เรายืนอยู่ตอนนี้คือเมือง Manhattan ในส่วนตอนบนมี Bronx , ขวามี Queen และ Brooklyn  และแต่ละเมืองก็กว้างใหญ่ไพศาล  เลยคิดว่ามีเวลาแค่สองวันน่าจะตัดเมืองอื่นๆออกไปเลย  และเที่ยวแค่ Manhattan ก็พอ  และส่วนตัวผมรู้สึกผมคุ้นชื่อคำว่า New York มากกว่า Manhattan เพราะฉะนั้นนะครับ  ผมขออนุญาตเรียกชื่อการเที่ยวในจุดนี้ว่า New York ไปเลยก็แล้วกัน

โอเคงั้นออกเดินทางไปดูจุดอื่นๆกันบ้างนะครับ  การเดินทางส่วนใหญ่ของเมืองนี้ก็คงหนีไม่พ้นการเดินเท้าครับ  ช่วงเช้าเลยเดินกันได้หลายกิโล  และรูปก็เลยจะเยอะๆหน่อยนะครับดูกันเพลินๆละกัน


ยังคงเป็นเวลาของอักฟ่าอยู่นะครับ ลุยเลยเพื่อนยาก

Agfa Vista plus 400  



เอาจริงๆแบบไม่ได้กระแดะแกล้งไม่รู้นะครับ  แต่ผมนิยามคำว่า Street Photography ไม่ถูกจริงๆ  ว่าถ้าจะถ่ายแนวนี้มันต้องมี "เรื่องราว" อย่างไรบ้าง  แต่ผมคิดเอาเองว่ามาถ่ายรูป New York วันนี้  รูปถ่ายส่วนใหญ่ก็มีเรื่องราวที่เกิดขึ้น "บนถนน" ที่ผมเดินไปเจอนั่นเอง

Agfa Vista plus 400 


Kodak Ultramax 400


ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม  ก็ต้องบอกว่าถ้าไม่รีบจะไม่เหนื่อยเลย  แต่เนื่องจากเดินกันไกลพอสมควรก็ยังไม่ทั่วเลย  มันก็ต้องมีล้ากันบ้าง  แล้วยิ่งที่เกาะนี้มันมีการแบ่งเป็นโซนคร่าวๆจากบนลงล่างตามความยาวของเกาะอีก คือ ไล่จากบนเป็น Uptown  Midtown  Downtown  ภาพที่เห็นทางด้านบนนี่คือ Downtown ผสม Midtown หน่อยๆครับ  ซึ่งยังไม่ไปทาง Uptown เลย  แถมจุดที่อยากไปมากๆคือ Central park ซึ่งเป็นเหมือนปอดของเกาะเลยก็ว่าได้  ดันอยู่ด้านบนๆซะอีก  

เอาไงละทีนี้  พอดีนึกขึ้นได้ว่าเมื่อคืนก่อนหลับได้คุยกันถึงรถบัสชมเมืองแบบมีที่นั่งดาดฟ้า  ก็น่าสนนะ  แต่คิดว่าคงไม่เอาดีกว่าเพราะมันซอกแซกถ่ายรูปไม่ได้  แต่พอมาถึงจุดนี้ขาชักจะแข็งแล้ว  คิดว่าถ้าได้นั่งก็คงไม่เลว  

แล้วก็เจอมัน  เจ้ารถบัสชมเมืองคันแดงๆแบบนี้  เลยเข้าไปถามได้ความว่า  พาไปหมดเลยทั้งเกาะ  แถมมีชมเมืองรอบกลางคืนด้วย  ในราคา 50$ ต่อคน  ยิ่งไปกว่านั้นราคานี้รวมเรือไปชมเทพีเสรีภาพด้วยย  เห้ยหลอกเปล่า  เอาดิเจ๋งดีออก   สุดท้ายได้ตั๋วไปคนละใบ

Kodak Ultramax 400

นั่งด้านบนโคตรดีครับขอบอก  เห็นวิวแบบไม่เมื่อยขาเลย  แถมพาไปตรงที่อยากไปตั้งหลายที่  เสียอย่างเดียวช่วงนั้น New York อุณหภูมิราวๆ  5 องศา คนไทย 5 คนบนดาดฟ้านั่งชมวิวกันแบบสั่นเป็นลูกนกเลยทีเดียว

 

ได้เวลาเปลี่ยนฟิล์มแล้ว  ไม่รู้จะใส่อะไรดี  มองดูแดดแล้วขอเลือกเป็นฟิล์มหนัง ISO 50 ของ Cinestill 50D ละกัน

Cinestill 50D  

และอย่างที่บอกว่ามันมีทัวร์รอบกลางคืนด้วย  เราก็เลยนั่งต่อกันอีก  คราวนี้รถเค้าขับไปในเส้นทางที่ขึ้นเหนือ  แล้วข้ามสะพาน Manhattan Bridge ไปลงที่ฝั่ง Brooklyn

Cinestill 50D 

สะพาน Brooklyn สวยน่าขึ้นไปเดินมากครับ  แต่รถเค้าไม่ได้จอดเลยอดไป

จากนั้นเรา 5 คนก็ไม่ไหวจะเดินและนั่งรถอีกต่อไป  เพราะหิวสุดๆ  อาหารการกินราคาดีๆก็หายาก  อาศัยเข้าร้าน Mc กันบ้าง ร้านอาหารจีนกันบ้างเพื่อบรรเทาความหิว  

ไอ้ร้านอาหารจีนที่ไปเจอนี่ประหลาดนะครับ  พอดีไม่ได้ถ่ายรูปมา   มันเป็นร้านแบบข้าวราดแกง  คือจิ้มเอา  จะเอากับข้าวอะไรราดข้าว  เค้าก็ตักใส่กล่องให้ ราคาแถวๆ 7$ ก็ประมาณ 200 กว่าบาท  แพงนะแต่ไม่มีทางกินหมดได้ในมื้อเดียวแน่ๆเพราะเยอะมาก  อันนี้แบบที่ 1  ส่วนแบบที่ 2 ให้ตักเองครับคุณพระ!!  ข้าวแกงบุฟเฟ่  แต่พอตักเสร็จมาต่อแถวช่างน้ำหนักครับ โคตรงง ช่างน้ำหนักข้าวกล่อง  ผมไม่รู้นะว่าขายยังไง  แต่เท่าที่ดูแต่ละคนโดนกันไปแถวๆ 7-11$ เลยทีเดียว กินกันให้ตายไปข้างเพราะเยอะสุดๆ

จากนั้นก็นั่งรถไฟแบบเดิมกลับไปที่พักฝั่ง Jersey ตามเดิม  เพราะว่าไม่ได้หาที่พักใน New York ไว้   ในส่วนของรถไฟใต้ดินที่บ้านเค้านั้น  ก็......สกปรกสมคำร่ำลือจริงๆครับ   

Cinestill 50D 

 

หลังจากพักขาได้หนึ่งคืน  เช้ามาชาวไทย 5 คนก็ขนของเช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก   เพราะว่าอีหมวยเจ้าของห้องบอกว่าต้องไปทำงานแต่เช้า  แล้วจะมีคนมาพักรายใหม่  ให้เรารีบเก็บของออก  อันนี้โคตรไม่แฟร์เลย เช็คอิน 6โมงเย็น เช็คเอ้าท์ 8 โมงเช้า  ถือว่าพลาดจริงๆสำหรับการมาพักที่นี่  แต่ไม่เป็นไรช่างมัน 

พวกเราขนของออกมาแล้วทำตามแผนใหม่  คือจะไปนั่งเรือทัวร์เทพีเสรีภาพกัน  จำได้ไหมครับที่บอกว่าค่ารถ 50$ มีทัวร์เรือด้วย   เราก็ไปเลย  ไปติดต่อที่ท่ารถแถวๆ Time Square  ผ่างงงงงง  ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่เอาตั๋วเราไปดูแล้วบอกว่า  ยูไม่สามารถไปทัวร์เรือได้   อ้าวเอาแล้วไงโดนไอ้คนขายตั๋วหลอกละ  เจ้าหน้าที่เลยอธิบายใหม่ว่า  เมื่อคืนคุณไปทัวร์รถรอบกลางคืนมาใช่ไหม  ถ้าคุณไปแล้วเท่ากับคุณหมดสิทธิ์ไปทัวร์เรือนะ  เพราะเราให้เลือกอย่างใดอย่างนึงเท่านั้น    อ้าวววววว จ๋อยเลยอะไรวะ  อด อด อด อดไปเกาะเทพี

เจ้าหน้าที่เห็นเราผิดหวัง  เลยมาพูดให้กำลังใจว่า  แต่ยูสามารถไปขึ้นเรือฟรีเพื่อชมเทพีได้นะ  แถมบอกตำแหน่งเสร็จสรรพว่าไปขึ้นที่ท่าเรือไหน   ผมก็เริ่มไม่เชื่อใจละ  อะไรวะมีฟรีด้วยเหรอ   เจ้าหน้าที่บอกขึ้นรถทัวร์แบบเดิมไปลงทางตอนใต้ของเกาะได้เลย   อ่ะลองดูๆ  ก่อนไปถ่ายรูปต่ออีกหน่อย

Cinestill 50D 

อะมาถึงละครับ  ท่าเรือทางตอนใต้ของเกาะ อยู่แถวๆ Battary Park  ชื่อ Staten Island Ferry

 

รู้สึกว่าชื่อท่าเรือมันเหมือนชื่อเกาะทางตอนใต้ของ New York ยังไงไม่รู้  มันชื่อว่าเกาะ Stanten แล้วมันจะชมเทพียังไงวะ  อ๋ออออ  คงจะส่งคนลงตรงเทพีก่อนแล้วเลยต่อไปเกาะ Stanten  แล้วขากลับก็รับคนที่เกาะนู้นกลับมาที่ท่าเดิม  แล้วก็แวะรับเรามาด้วยแหงๆ   

เปิดประตูเข้าไปดูในท่าเรือโอ้โหคนเพียบครับ  เยอะอย่างกับขึ้นฟรี   เออแต่ก็ฟรีจริงๆนี่หว่า ไปเหอะไปไหนก็ไป  ก็ขึ้นเรือครับ  ขึ้นหมดปุ้บออกเลย

มองย้อนกลับไปที่ท่าเรือได้ภาพมาประมาณนี้

Cinestill 50D 

มีแต่คนแห่กันไปถ่ายรูปที่ท้ายเรือ  ผมก็กดๆไปบ้าง  

Cinestill 50D 

คราวนี้เกิดอยากกินกาแฟขึ้นมาซะเฉยๆ  เลยเดินไปสั่งที่ร้านค้าในเรือ  แต่ปรากฎว่ากาแฟเค้าหมดมีแต่น้ำอัดลม  อดอีก  เลยกลับมายืนที่กระจกข้างเรืออย่างเดิมเพื่อรอดูเทพีก่อนที่เรือจะจอดที่เกาะ   แต่พอเดินกลับมาถึงจุดเดิม......ภาพที่เห็นคือ ภาพนี้

Cinestill 50D 

 

ผมเห็นเทพีในระยะกำลังเริ่มไกลออกไปเรื่อยๆ  เลยรีบยกกล้องออกมาถ่ายผ่านกระจกเปื้อนๆ  งง ทำไมมันค่อยๆไกลออกไปเรื่อยๆ  ไม่มีทีท่าว่าจะจอดเลย  ผ่านไปนานประมาณ 10 นาที  เรือก็เริ่ม "เข้าท่า" แต่ท่าที่ว่าคือท่าเรือของเกาะ Stanten !!!  สรุปมึงไม่แวะนี่หว่า ถึงว่าฟรี  

พวกเรารีบขึ้นฝั่งตรงทางเข้า IN แล้วหมุนกลับมาออกทาง OUT ทันที  แล้วรีบวิ่งกันไปขึ้นเรือลำเดิมเลย  คือหมุนกลับไปเกาะ Manhattan New York อีกรอบ  

กลับมาถึงฝั่งแบบว่า  ก็ยังดีวะที่ได้เห็นเทพีใกล้กว่าเดิม  แล้วเอาไงต่อล่ะทีนี้แผนหมดแล้วด้วย  คือต้องบอกแบบนี้ครับ  พอดีทริปนี้แม่ยายผมมาด้วย  ซึ่งแม่ก็ขาไม่ค่อยดีเดินนานๆมันก็จะปวดกว่าคนปกติ  แล้วผมกับภรรยาก็รู้สึกยังไม่สะใจเลย  อยากถ่ายภาพต่ออีกหลายจุดที่ยังไม่ได้ไป   เลยวางแผนกันใหม่โดยแม่ยาย  พี่สาว  และเพื่อนพี่สาว จะแยกไปนั่งเล่นเดินเล่นใกล้ๆย่าน Time Square   ส่วนผมกับภรรยาจะแยกตัวไปเดินถ่ายรูปกันต่อในย่านอื่นๆ  แล้วช่วงหัวเย็นๆค่อยมาเจอกัน

หลังจากแยกย้ายกันไป  เป้าหมายแรกของเราสองคนคือตั้งใจจะเดินไปวิหาร St. Patrick's ก็เริ่มเดินจากถนนย่าน Time Square ไปเลย  ผมก็จำไม่ได้หรอกครับว่ามันผ่านถนนอะไรบ้างรู้แต่เพลินมากๆ

Cinestill 50D 

ถึงแล้วครับ เห็นยอดแหลมๆสองอันใช่แน่นอน  

Cinestill 50D 

 

เอาแล้วไงวิหารสูงสุดสุด และไม่มีจุดถ่ายจากระยะไกลได้เลย  แล้ววววเลนส์ 50mm. เก็บยังไงถึงจะหมด

Cinestill 50D 

 

แบบนี้ต้องเรียกพระเอก Lomo LC-Wide มาช่วย  ง่ายเลยทีนี้

Kodak Ultramax 400

 

ทรงผมพี่เข้ากับวิหารมากๆครับ

Kodak Ultramax 400


ฟิล์มหมดตรงหน้าวิหารพอดีครับ  ตอนนั้นฟิล์มที่พกติดตัวมามีตัวนึงน่าสนใจ  เพราะเคยลองไปครั้งเดียวคือ Fuji Natura  1600 แล้วก็อยากเข้าไปถ่ายด้านในวิหารด้วย  มืดๆน่าจะเข้ากันพอดี จัดเลยดีกว่า

น่าแปลกมากครับ  พอเดินเข้ามาด้านในตอนแรกนึกว่าไม่มีคนเพราะว่ามันดูเงียบๆ ไม่ได้ยินเสียงไรเลย  แต่พอก้าวข้ามประตูมาเท่านั้นแหละ  คนเป็นล้านเลย  ร้องเพลงกันอยู่ด้านใน   ภายในวิหารก็สวยงามอลังการจริงๆ

Fuji Natura 1600 


อันนี้ถ่ายมาไม่ดี มืดเกิ้นนน

Fuji Natura 1600

ในส่วนของวิหาร แผนที่ตามนี้นะครับ

พอออกมาจากวิหารเป้าหมายต่อไปคือไปถ่ายตึก Empire State ครับ  ก็เดินวนลงทางทิศใต้ต่อ  เหมือนกับว่าวิหารเป็นจุดกลับรถ   เดินๆๆๆๆๆอยู่นานมาก  

และตอนนั้นแหละครับเหตุการณ์ก็เกิดขึ้น  ผมเริ่มเจ็บหน้าขา เริ่มรู้สึกหนาวข้างในทั้งๆที่เสื้อตัวที่ใส่ทนสภาพอากาศหนาวได้ดีมาก  แต่มันไม่ใช่  มันเหมือนเราไม่ได้หนาวอากาศเหมือนกับกำลังจะไม่สบาย  แต่ยังไหวยังคงเดินๆๆๆๆต่อไป  กล้องคล้องที่คอ  ตาคอยดูแผนที่ในมือถือ   จนกระทั่งรู้ตัวอีกทีเราสองคนก็เดินเลย ตึก  Empire State มาหลายบล็อกแล้ว  ไม่รู้ว่าเลยมาตอนไหน  แต่ก็ตัดสินใจใหม่ว่าเดินต่อไปก็แล้วกันเพื่อไปถ่ายอีกตึกนึงที่วางแผนไว้ มันคือตึกนี้ครับ

Fuji Natura 1600 

Kodak Ultramax 400

ตึกนี้คือตึก Flatiron  หน้าตามันเท่โดนใจผมมากๆ  แถมอยู่ในจุดทางแยกถนน  เลยทำให้มันยิ่งดูเด่นเข้าไปใหญ่  ผมเรียกมันว่าตึกเตารีด  อ่ะนี่แผนที่ตึกเตารีด


 

ใกล้ๆกันมีหอนาฬิกา ก็เด่นพอกัน

Kodak Ultramax 400

อันนี้ก็......เด่นพอกันอีก!!!

Fuji Natura 1600 

พอถ่ายรูปเสร็จก็หมดเวลาพอดี  ผมกับภรรยาต้องรีบบึ่งไปพบอีก 3 คนที่ Time Square ซึ่งถ้าเดินมันจะไกลทีเดียว  เลยใช้วิธีนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปโผล่แถวนั้นแทน   ผมเองตอนนั้นจำได้ว่าอาการไม่สบายชัดเจนขึ้นแล้ว  ชัวร์เลย  คือรู้สึกไม่ไหวแต่ต้องรีบไปต่อเพราะว่า เราทั้ง 5 คนต้องรีบไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินใน New Jersey เพื่อบินกลับไปนอนที่ไมอามี่ในคืนนี้    ปรากฎว่าผมเจอรถไฟซ่อมอุโมงค์ทำให้ช้าไปอีกโขอยู่  กว่าจะมาเจอทุกคนได้ก็สายมากแล้ว  

ทุกคนแบกกระเป๋ากึ่งวิ่งกึ่งเดิน เข้าๆออกๆรถไฟใต้ดิน ขึ้นแล้วลง  ลงแล้วขึ้น อยู่หลายรอบจนในที่สุดก็มาถึงสนามบินทันเวลาแบบเฉียดฉิวมากๆ   พอขึ้นเครื่องได้  อาการผมก็มาครบเลย  คือเป็นไข้ตัวร้อน  หนาว  เจ็บคอ  ท้องเสีย ทรมานที่สุด  ได้แต่ภาวนาขอพรพระให้ลูกปลอดภัย คือไม่อยากมาไม่สบายที่ต่างประเทศเลยจริงๆ  ยังดีที่ได้ยาและมีภรรยาคู่ใจคอยดูแลอยู่ตลอดตรงนั้น  

พอยาออกฤทธิ์ผมก็หลับยาวมาจนถึงสนามบิน Fort Lauderdale ในไมอามี่เลย  และพอทุกอย่างเรียบร้อยเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน  ซึ่งกว่าจะถึงบ้านเวลาตอนนั้นก็ราวๆตีสองแล้ว   ผมทิ้งร่างกายที่ไม่สบายลงนอนยาวจนเช้าอีกวัน  และตื่นมาพร้อมอาการที่ดีขึ้นไม่มีไข้ทุกอย่างดีหมด.....ยกเว้นอย่างเดียวคือหลังจากนั้นมา ผมก็ไออย่างบ้าคลั่ง  ไอตลอดเวลา  จนต้องไปหายาแก้ไอชนิดแรงมากิน  ซึ่งพอกินแล้วก็จะง่วงนอนชนิดทำอะไรต่อไม่ได้เลย

ผม  ภรรยาและแม่ยายพักอยู่ที่บ้านพี่สาวในไมอามีต่อไปเพื่อช่วยกันทำร้านอาหาร  ณ. เวลาตอนนั้นก็วันที่ 23 เมษาละ ร้านต้องเปิดให้ทันช่วงต้นเดือนพฤษภา  ช่วงนี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปเท่าไหร่ เพราะหนึ่งต้องรักษาตัว สองต้องช่วยกันทำข้อมูลต่างๆของร้าน

สำหรับผมเองทริป เมือง Buffalo กับ New York นี้ ส่วนตัวแล้วผมชอบ "บรรยากาศ" ความเป็นเมืองของทาง Buffalo มากกว่านะครับ สงบและมีธรรมชาติสวยมากๆ ส่วนทาง New York ผมมองว่ามันน่าตื่นเต้นทั้งผู้คน ถนน ตึก วิถีชีวิตของเค้า มันดูน่าถ่ายรูปไปหมด  แต่ผมว่ามันกลับเป็นเมืองที่ไม่น่าอยู่ซักเท่าไหร่ครับ อาจจะเพราะใจใฝ่มาทางสงบและธรรมชาติซะมากกว่า ๕๕๕ 

โอเค เรามาถึงตอนท้ายของบทความนี้แล้วนะครับ  จะบอกว่ามันเป็นตอนท้ายของบทความแต่ไม่ใช่ตอนท้ายของทริป   เนื่องจากรูปค่อนข้างเยอะและเขียนทีเดียวอาจจะยาวไป เลยขอแบ่งบทความเป็น 3 ตอนย่อยก็แล้วกันครับ  

ยังไงก็รออ่านตอนที่ 2 ตะลุย ไมอามี  และตอนที่ 3 เยือนซานฟรานซิสโก นะครับ

อัพเดต ตอนที่ 2 อยู่นี่แล้วจ้า

ไปเยือนซักครา เมกากับกล้องฟิล์ม-ตอนที่ 2 Miami


ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านกันนะครับ

Camera : Nikon FM2 + Lomo LC-Wide
Film : IRO200, Sunny16, Agfa Vista plus 400, Kodak Ultramax 400, Cinestill 50D, Fuji Natura 1600
Lab : LERT's

โน้ต อะฟิล์ม

Kodak Ultramax 400


Leave a comment